เกษตรกรโอดรัฐจ่อเก็บภาษีไม้ยืนต้น ควรช่วยราคาผลผลิตการเกษตรที่ตกต่ำ
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 จากกรณีที่ภาครัฐ โดยกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมไปถึงภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่าในอัตราภาษีที่แตกต่างกัน ทำให้นายทุนที่มีที่ดินรกร้างว่างเปล่า หันมาปลูกพืชการเกษตรเพื่อหวังลดภาษี โดยไม่ได้มีการดูแลและไม่หวังผลทางเศรษฐกิจ ซึ่งแตกต่างจากเกษตรกรรายย่อย ที่ปลูกพืชแบบผสมผสาน ทั้งพืชล้มลุกและไม้ยืนต้น เพื่อหวังผลทางเศรษฐกิจเป็นอาชีพ ทำให้ต่อมาภาครัฐได้กำหนดอัตราจำนวนการปลูกพืชต่อไร่ เพื่อป้องกันกลุ่มนายทุนปลูกพืชผลที่หวังเลี่ยงภาษี อีกทั้งยังมีแนวนโยบายในการจัดเก็บภาษีไม้ยืนต้น ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับเกษตรกรตัวจริง ผู้ประกอบอาชีพปลูกพืชไม้ยืนต้นโดยตรง อาทิ มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ทุเรียน และไม้ยืนต้นอื่นๆ
นางวันเพ็ญ มหาสอน อายุ 54 ปี เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนในพื้นที่ตำบลเขาจ้าว อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ตนประกอบอาชีพปลูกพืชทำการเกษตรหลายอย่าง ไม่ว่าจะปลูกทุเรียน ปาล์มน้ำมัน สับปะรด และว่านหางจระเข้ โดยปลูกทุเรียนไว้ 170 ต้น ปาล์ม 500 กว่าต้น ซึ่งที่ผ่านมาตนเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมไปถึงภาษีที่ดินทำการเกษตรกับ อบต.ทุกปี และยังไม่ทราบข่าวเกี่ยวกับภาครัฐจะมีนโยบายเกี่ยวกับการเก็บภาษีไม้ยืนต้นเพิ่มเติม เนื่องจากพื้นที่ตำบลเขาจ้าวเป็นพื้นที่ทำการเกษตร อยู่ห่างไกลความเจริญ ไม่มีไฟฟ้า และสัญญาณโทรศัพท์ที่ไม่เสถียร ทำให้ไม่ค่อยได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งหากภาครัฐจะมีการจัดเก็บภาษีไม้ยืนต้นจริง ตนไม่เห็นด้วย เนื่องจากปัจจุบันเสียภาษีที่ดินทำการเกษตร และสิ่งปลูกสร้างอยู่แล้ว ซึ่งถ้าหากต้องเสียภาษีไม้ยืนต้นอีกคงไม่ไหว แค่นี้ก็แย่อยู่แล้ว เพราะทุกวันนี้ราคาผลผลิตทางการเกษตรมีแต่ตกต่ำ ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ต้นทุนการผลิตมีแต่สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย ยา สารเคมี และน้ำมัน อยากให้ภาครัฐหันมาดูแลเกษตรกรบ้าง ช่วยทำให้ราคาผลผลิตทางการเกษตรสูงขึ้นกว่าเดิม ปรับให้สมดุลกับต้นทุนการผลิต
จากการที่ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สอบถามความคิดเห็นของเกษตรกรเกี่ยวกับนโยบายที่ภาครัฐจะมีการเก็บภาษีไม้ยืนต้นนั้น พบว่าเกษตรกรหลายรายส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยทราบเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะภาครัฐขาดการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง รวมไปถึงพื้นที่ ที่เกษตรกรอาศัยอยู่ในบางพื้นที่ ยังขาดช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร สัญญาณโทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ตยังเข้าไม่ทั่วถึง ไม่ครอบคลุมในทุกพื้นที่ ที่เกษตรกรอาศัยอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ภาครัฐต้องมีการทำประชาพิจารณ์สอบถามความคิดเห็นจากประชาชน ก่อนออกประกาศใช้กฎหมายนี้ โดยการมอบอำนาจให้ท้องถิ่นเก็บสำรวจรวบรวมข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง เพราะอยู่ในพื้นที่จัดเก็บและจัดเก็บในอัตราที่แตกต่างกัน ระหว่างที่ดินที่เป็นที่รกร้างของนายทุนที่ทำการเกษตรแบบหวังลดภาษี ไม่สามารถแจ้งเป็นการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรได้ ควรมีการจัดทำรายได้เพื่อป้องกันการทำการเกษตรแบบแอบแฝง และที่ดินของเกษตรกรที่รับสืบทอดมรดกเพื่อทำการเกษตรแบบพออยู่พอกิน และทำการเกษตรจริงๆ.
เอกภพ วงษ์ประเสริฐ….รายงาน