ฉาวอีกแล้ว อ้างเป็นตำรวจภาค คลุมหัวหิ้วสาวใหญ่เรียกค่าไถ่กว่า 3 แสน

วันที่ 22 กันยายน 2566 ร.ต.อ.หญิง รัตนาภรณ์ ทองจีน รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้เชิญนางพัชรี สนสนิท อายุ 48 ปี ลงพื้นที่ชี้จุดเกิดเหตุ หลังจากไปแจ้งความที่ สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 เวลา 20.30 น.ที่ผ่านมา เนื่องจากตกเป็นผู้เสียหายจากกรณีมีกลุ่มชายฉกรรจ์ 4 คน ขับรถเก๋งยี่ห้อ Honda สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน บริเวณกระจกด้านหลังมีสติ๊กเกอร์คล้ายตราโล่ของตำรวจติดอยู่ อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วใช้ผ้าดำคลุมศีรษะ ก่อนนำตัวขึ้นรถออกไปจากจุดเกิดเหตุ ซึ่งห่างจากบ้านพักของตัวเองประมาณ 50 เมตร โดยไม่ทราบว่าจะพาไปที่แห่งใด เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา นอกจากนี้ผู้เสียหายได้ร้องเรียนกับสื่อมวลชนขอให้ติดตามไปทำข่าวด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

จุดแรกที่ไปชี้ คือบริเวณหน้าบ้าน ตามภาพในกล้องวงจรปิด เวลาที่ถูกลักพาตัวไปประมาณ 08.30 น. จุดที่ 2 เป็นบริเวณป้ายหาดหว้าขาว คือจุดที่นำเงินค่าไถ่ไปวางไว้ตามที่คนร้ายสั่ง จุดที่ 3 คือจุดที่คนร้ายนำตัวนางพัชรีทิ้งไว้ที่บริเวณศาลาริมทางหน้าสถานีควบคุมไฟป่าจังหวัดประจวบฯ ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบฯ โดยถูกปล่อยตัวเวลาประมาณ 21.30 น.ของวันเดียวกัน

นางพัชรี เล่าว่าช่วงเช้าของวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ขณะที่ตนพาหลานซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์เพื่อไปส่งที่โรงเรียน แต่ก่อนจะกลับถึงบ้านพัก ภายในหมู่บ้านดอนเหียง หมู่ 10 ต.เกาะหลัก อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ มีรถเก๋งสีขาว ยี่ห้อฮอนด้า ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับสวนทางมา แล้วปาดหน้ารถของตน ก่อนจะลงจากรถแล้วใช้ผ้าสีดำคลุมศีรษะตน เพื่อไม่ให้เห็นหน้า ก่อนที่จะบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนจึงไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด และขณะที่ตนถูกควบคุมตัวอยู่ภายในรถ กลุ่มชายฉกรรจ์ที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการพูดคุยกัน แล้วหลุดปากเรียกชื่อเพื่อนร่วมทีมออกมาว่า “แงะเอาไงต่อ” โดยมีชายคนหนึ่งใช้อาวุธปืนจ่อไว้ที่ศีรษะของตน พร้อมกับใช้แขนล็อคคอไว้ตลอดเวลา จากนั้นได้พาตนนั่งรถไปตามเส้นทาง ซึ่งตนไม่ทราบว่าพาไปที่แห่งใด ต่อมาได้มีการพูดคุยกัน โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจากภาค 7 ติดตามกระบวนการค้ายาเสพติด แล้วมีผู้ต้องหารายหนึ่งที่จับมาได้ ซัดทอดตนว่ามียาเสพติดไว้ในครอบครอง ซึ่งตนได้ปฏิเสธไปทุกข้อกล่าวหา และบอกว่าหากไม่นำเงินจำนวน 300,000 บาท มาไถ่ตัวกลับไป จะดำเนินการยัดยาให้ แล้วส่งต่อส่วนกลางให้ดำเนินคดี ตนเกิดความกลัว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อใครได้ เพราะตนไม่ได้นำโทรศัพท์ติดตัวมาด้วย ระหว่างนั้นมีสายโทรศัพท์ของกลุ่มชายฉกรรจ์ส่งให้ตนพูดกับลูกสาว โดยที่ตนยังถูกปิดตาด้วยผ้าคลุมหัวอยู่ จึงสงสัยว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวเอาเบอร์ลูกสาวของตนมาจากไหน ด้วยความตกใจกลัว จึงบอกลูกสาวให้นำเงิน 300,000 บาทมาไถ่ตัวแม่กลับไป

ด้าน น.ส.พรพิมล อายุ 26 ปี ลูกสาวของนางพัชรี เล่าว่าชาวบ้านเลี้ยงวัวในละแวกใกล้บ้าน มาบอกตนว่าเห็นแม่ถูกนำตัวขึ้นรถเก๋งสีขาวออกไป ไม่ทราบว่าเป็นใคร ตอนแรกตนก็ไม่ได้เอะใจ พอมาช่วงตอนเย็นมีโทรศัพท์เข้ามา จึงรับสาย ทราบว่าเป็นเสียงของตำรวจคนหนึ่งชื่อ “แงะ”ซึ่งตนจำได้ เพราะเป็นคนรู้จักมักคุ้นกับอดีตแฟนเก่า เคยพูดคุยกัน โดยคนชื่อ “แงะ”บอกกับตนว่าแม่ถูกตำรวจจากภาคควบคุมตัวไปก่อนวางสาย จากนั้นไม่นาน มีเสียงโทรศัพท์เข้ามาใหม่ แต่เป็นเสียงของแม่ บอกให้ตนหาเงินมาไถ่ตัว กลับไปค่อยคุยกัน ตนไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้จะไปหาเงินมาจากไหน อีกทั้งยังอยู่ในความตกใจ จึงขอต่อรองลดลงเหลือ 200,000 บาท จากนั้นจึงมีการนัดจ่ายเงินค่าไถ่ ก่อนจะปรึกษาญาติๆ เพื่อหาเงินให้ครบตามจำนวนไปไถ่ตัวแม่ พร้อมนำเรื่องที่เกิดขึ้นเข้าแจ้งความที่ไว้ที่ สภ.เมืองประจวบฯ ให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าว เพราะเชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกระบวนการลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ในครั้งนี้อย่างแน่นอน

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหา โดยผู้เสียหายมีความประสงค์แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับนายแงะ กับพวกอีก 3 คน ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดที่ได้ร่วมกันลักพาตัวผู้แจ้งไปเรียกรับเอาเงินจำนวน 200,000 บาท และแหวนทองคำรูปพรรณน้ำหนัก 2 สลึง ราคาประมาณ 20,000 บาท ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป และหากมีการตรวจสอบแล้วพบว่านายแงะเป็นผู้กระทำความผิดในคดีนี้ และเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง ด้านผู้เสียหายมีความประสงค์ที่จะให้โอนคดีไปที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.)ต่อไป.

เอกภพ วงษ์ประเสริฐ….รายงาน

ข่าวแนะนำ