หาบัญชีม้าแบบใหม่ หลอกเหยื่อไปทำงานขายออนไลน์ต่างแดนก่อนขังตัวไว้ เอาบัญชีไปหลอกรับโอนเงิน

วันที่ 29 มกราคม 2567 น.ส.อุษา ถือแก้ว อายุ 31 ปี ชาวบ้านอำเภอกุยบุรี พร้อมด้วยนายณัฐพงศ์ ทองศรี อายุ 29 ปี สามี และผู้เสียหายอีก 3 ราย มาพบผู้สื่อข่าวเพื่อร้องทุกข์ ว่ากลุ่มของตนจำนวน 6 ราย ได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวงให้ไปทำงานในกัมพูชา ไปแจ้งความแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถช่วยเหลือได้

น.ส.อุษา เล่าว่าเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ตนได้รับการติดต่อจาก น.ส.ตุ้ง ที่รู้จักคุ้นเคยกันอย่างดี อีกทั้งยังเคยช่วยหาแหล่งกู้เงินให้กับตน ถามมาว่ามีงานให้ทำ 15 วัน ได้ค่าตอบแทน 30,000 บาท ซึ่งตนและสามีก็สนใจ จึงสอบถามไปว่า งานผิดกฎหมายหรือเปล่า ทาง น.ส.ตุ้ง ยืนยันว่าไม่ผิดกฎหมายแน่นอน เป็นงานขายของออนไลน์ ต้องไปทำที่ชายแดนฝั่งประเทศกัมพูชา แต่มีเงื่อนไขว่า ทุกคนต้องเปิดบัญชีหลายๆ บัญชี โดยบอกว่า เมื่อข้ามไปฝั่งเพื่อนบ้าน บางบัญชีอาจไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตทำให้ใช้งานไม่ได้ เลยขอให้เปิดไปเผื่อ พวกตนหลงเชื่อ จึงได้ชักชวนพี่เขยและญาติสนิทอีก 4 คน ไปเปิดบัญชี จากนั้น น.ส.ตุ้งได้พาพวกตนทั้งหมด ไปทำพาสปอร์ตที่จังหวัดเพชรบุรี โดยออกค่าใช้จ่ายและค่ารถให้ทั้งหมด

ต่อมาวันที่ 6 มกราคม น.ส.ตุ้ง ได้พาพวกตนไปพักค้างคืนที่บ้านแฟนของ น.ส.ตุ้ง ที่ลพบุรี และวันที่ 7 มกราคมได้พาไปยัง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ก่อนข้ามแดนไป ได้นำโทรศัพท์มือถือมาให้พวกตนคนละ 1 เครื่อง และให้โหลดแอปธนาคารต่างๆ ที่ไปเปิดมาลงเครื่องที่ให้มา พยายามชักจูงต่างๆ นานา ว่าเพื่อความสะดวกในการรับเงิน เพื่อไม่ให้ปะปนกับบัญชีที่พวกตนมีใช้อยู่ก่อน และบอกว่าเมื่อเสร็จงานก็ให้ลบแอปฯ ออกจากโทรศัพท์ ก็จะไม่มีใครใช้งานได้ จากนั้นเมื่อผ่านด่าน ตม. มีการประทับตราอย่างถูกต้อง เมื่อนั่งรถไปถึงตึก 3 ชั้นแห่งหนึ่ง ห่างจากชายแดนประมาณ 2 กิโลเมตร ให้พวกตนขึ้นไป บอกว่าห้องทำงานอยู่ชั้น 2

น.ส.อุษาเล่าต่อว่า เมื่อตนเห็นสภาพของตึกและประตูเหล็กที่ปิดอยู่ มีการ์ดคอยยืนคุมอยู่ตลอด จึงบอก น.ส.ตุ้งไปว่าขอเปลี่ยนใจไม่ทำงานแล้วได้ไหม แต่ น.ส.ตุ้งพยายามคะยั้นคะยอให้ตนขึ้นไปทำงาน บอกว่าไม่มีอะไรหรอก ก่อนที่ น.ส.ตุ้งรีบกลับประเทศไทยทันที พวกตนทั้งหมดจึงจำยอมเดินเข้าไปในตึก เพราะเห็นการ์ดถือกระบองไฟฟ้า และกดช๊อตไฟเสียงดังจนน่ากลัว เหมือนเป็นการข่มขู่พวกตนไปในตัว

ระหว่างที่ถูกกักตัวอยู่นั้น มีคนมายึดโทรศัพท์ที่ น.ส.ตุ้งมอบให้ไว้ก่อนเข้ามาของทุกคนไป และสอบถามรหัสผ่านของแอปฯ ธนาคารต่างๆ ที่ทุกคนเปิดเอาไว้ พวกของตนไม่กล้าขัดขืนจึงให้ไปทั้งหมด ระหว่างนั้นพยายามสอบถามจากคนที่อยู่มาก่อน ก็ได้ความว่า ทุกคนถูกหลอกให้มาทำงานและถูกยึดแอปฯ ธนาคารไปเหมือนกัน แต่ไม่มีใครกล้าที่จะขอความช่วยเหลือจากใคร ต่อมาวันที่ 13 ตนพร้อมสามีและเพื่อนอีกคนหนึ่ง ถูกปล่อยตัว ก่อนกลับได้ส่งเงินให้พวกตนคนละ 3 หมื่นบาท พวกตนทั้ง 3 คนจึงมาพักรออยู่ในฝั่งประเทศไทย แต่ไม่กล้าจะขอความช่วยเหลืออะไรจากใคร เนื่องจากเกรงว่าพวกที่เหลืออีก 3 คนจะไม่ปลอดภัย

ต่อมาวันที่ 18 และ 19 มกราคม พวกตนที่เหลือทั้งหมด ได้รับการปล่อยตัวกลับมายังฝั่งไทยโดยปลอดภัย และได้เงินกลับมา บางคนได้ 3 หมื่น บางคนได้ 2 หมื่นบาท จากนั้นพวกตนได้พากันกลับบ้านที่ อ.กุยบุรี จ.ประจวบฯ จึงได้ทราบว่าสามีของตนและพี่เขย มีหมายเรียกจากพนักงานสอบสวน คนละ 1 หมาย ของสามีตนจาก สภ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ส่วนของพี่เขยที่ สภ.เกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี

วันรุ่งขึ้นได้พากันไปแจ้งขอใช้ซิมใหม่เบอร์เดิม เนื่องจากซิมโทรศัพท์ถูกยึดไปตั้งแต่ตอนอยู่ฝั่งกัมพูชา แล้วไปขอความช่วยเหลือจากที่ต่างๆ ที่ดังๆ ในโซเชียล แต่ทุกที่บอกว่าอยู่ในระหว่างตรวจสอบและพิจารณา ต่อมาไปที่ สภ.กุยบุรี อ.กุยบุรี จ.ประจวบฯ ซึ่งเป็นท้องที่ที่พวกตนอยู่ พนักงานสอบสวนให้เพียงลงบันทึกประจำวันว่าพวกตนถูกหลอกไปทำงาน เมื่อนำใบบันทึกดังกล่าวไปให้หลายที่ดู ก็บอกว่าใบนี้ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ พวกตนจึงพากันมาร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว

น.ส.อุษากล่าวว่า ตอนนี้ทุกคนเดือดร้อนหนักมาก เพราะไปตรวจสอบกับธนาคารแล้ว พบว่าแต่ละบัญชีของพวกตนถูกอายัดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายจังหวัด คาดว่าอีกไม่นานคงมีหมายเรียกออกมา สามีของตนเกรงว่าอาจติดคุก ถึงกับชวนตนฆ่าตัวตาย เพราะเครียดต้องมาเป็นหนี้และโดนคดีที่พวกตนไม่ได้ก่อ จนตอนนี้ตนต้องคอยปลอบและให้กำลังใจทั้งสามีและคนอื่น ให้พยายามหาทางออกจากปัญหาให้ได้

ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง พ.ต.อ.วรวัชร แคมป์วงษ์ ผกก.สภ.กุยบุรี ถึงเรื่องดังกล่าว ทาง ผกก.กล่าวว่าได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนแล้ว ในตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่า ทั้ง 6 คนนี้ ถูกหลอกจริงหรือเปล่า ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวน เชิญทั้งหมดไปสอบสวนใหม่ เพื่อหาข้อเท็จจริง และแจ้งความเอาผิดกลุ่มมิจฉาชีพในโอกาสต่อไป.

พันธุ์พงษ์ โพธิ์จินดา….รายงาน

ข่าวแนะนำ