กรมทรัพยากรธรณี จับมือวนอุทยานเขานางพันธุรัตให้ความรู้ พ.ร.บ.คุ้มครองซากดึกดำบรรพ์

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 นายพิชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ.2551 แก่ชุมชนในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ที่วนอุทยานเขานางพันธุรัต อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี มีนายภคพัส ส่งวัฒนายุทธ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นายปรีชา สายทอง ผู้อำนวยการกองคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ นายสมเจตย์ จันทนา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (สบอ.3) เพชรบุรี นายพัฒนพันธ์ เจือจันทร์ หัวหน้าวนอุทยานเขานางพันธุรัต พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนให้การต้อนรับและร่วมรับฟังการบรรยาย

นายพิชิต สมบัติมาก กล่าวว่า พ.ร.บ.ซากดึกดำบรรพ์ที่กำหนดบังคับใช้ เพื่อเป็นการคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ต่างๆ ที่พบเจอในประเทศไทย เพื่ออนุรักษ์สร้างมูลค่าให้กับชุมชนและท้องถิ่น โดยการนำซากเหล่านั้นไปศึกษาวิจัยประโยชน์ทางวิชาการ ว่าพื้นที่นี้มีความเป็นมาอย่างไร โครงสร้างทางธรณีในยุคไหน จะนำสืบหาข้อมูลว่ามีแร่อะไรในพื้นที่ตรงนั้นบ้าง ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะนำไปพัฒนาประเทศได้ หากประชาชนทั่วไปพบเห็นซากดำบรรพ์ หรือสงสัยว่าเป็นซากดำบรรพ์ ควรแจ้งทางกรมทรัพยากรธรณีให้มาตรวจสอบ หรือแจ้งได้ที่ท้องถิ่น อบต. เทศบาลในพื้นที่นั้นๆ ได้จะมีนักวิชาการลงมาตรวจสอบให้

สำหรับโครงการฝึกอบรมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมตระหนักรู้ถึงความสำคัญเกี่ยวกับแหล่งซากดึกดำบรรพ์และซากดึกดำบรรพ์ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และนำไปถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้องประกอบด้วยการบรรยาย 3 หัวข้อ ได้แก่ 1. ธรณีวิทยา 2. พ.ร.บ.คุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ.2551 3. ซากดึกดำบรรพ์ พร้อมทั้งมีการแบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย และการฝึกปฏิบัติภาคสนามในพื้นที่วนอุทยานเขานางพันธุรัต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งซากดึกดำบรรพ์ประเภทสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล อายุประมาณ 290 – 250 ล้านปี ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพของซากสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเลโบราณ เช่น ฟอสซิลฟิวซูลินิด (Fusulinid fossil) คนไทยเรียกว่า “คตข้าวสาร” หรือ “ข้าวสารหิน” เป็นสัตว์ทะเลเซลล์เดียวที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และไครนอยด์ (Crinoid) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “พลับพลึงทะเล” สามารถพบเห็นได้ด้วยตาเปล่า ถือเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่า ควรแก่การอนุรักษ์และพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรีต่อไป.

ข่าวแนะนำ