Categories
ข่าว ทั้งหมด

บยสส.รุ่น 3 เปิดเวทีสัมมนาสาธารณะ “สื่อสารอย่างไรให้เท่าเทียม: สิทธิของ LGBTQIAN+ กับการเปิดรับของสังคม”

บยสส.รุ่น 3 เปิดเวทีสัมมนาสาธารณะ “สื่อสารอย่างไรให้เท่าเทียม: สิทธิของ LGBTQIAN+ กับการเปิดรับของสังคม”

บยสส. 3 เปิดเวทีสัมมนา “สื่อสารอย่างไรให้เท่าเทียม: สิทธิของ LGBTQIAN+ กับการเปิดรับของสังคม” ชี้ทัศนคติสังคมไทยต้องเปลี่ยน เริ่มจากครอบครัวและสถาบันการศึกษา เพราะแม้พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมผ่านสภาฯแต่สังคมไทยยังย้อนแย้งบางส่วน พร้อมชวนสังคมและสื่อมองความหลากหลายทางเพศคือเรื่องปกติ

 20 เมษายน 2567 – เพื่อร่วมสร้างสังคมที่เคารพและให้คุณค่ากับการเปิดรับความหลากหลายทางเพศ หลักสูตรผู้บริหารยุทธศาสตร์การสื่อสารมวลชนระดับสูง (บยสส.) รุ่นที่ 3 ร่วมกับสถาบันอิศรา ได้ร่วมจัดเวทีสัมมนาสาธารณะ  “สื่อสารอย่างไรให้เท่าเทียม: สิทธิของ LGBTQIAN+ กับการเปิดรับของสังคม” กล่าวเปิดงานโดย คุณชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ผู้อำนวยการหลักสูตร บยสส. รุ่นที่ 3  ณ Hall 1 – 2 ชั้น 10 อาคารอเนกประสงค์ เอสซีจี สำนักงานใหญ่ บางซื่อ

คุณพินิจ จารุสมบัติ ประธานผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้บริหารยุทธศาสตร์การสื่อสารมวลชนระดับสูง (บยสส.) รุ่นที่ 3 เปิดเผยว่า การจัดงานสัมมนาสาธารณะในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศได้สะท้อนความคิดและมุมมองสู่สาธารณะ เพื่อให้สังคมไทยรวมถึงสื่อมวลชนรวมมีความรู้ความเข้าใจต่อประเด็นความหลากหลายทางเพศ ในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับทุกคน “การเคารพในความหลากหลาย เป็นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ที่จะต้องให้ความเคารพ ลดความขัดแย้ง ลดปัญหา ความเหลื่อมล้ำและการเลือกปฏิบัติ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และหวังว่าการสัมมนาจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยต่อไป”

คุณณชเล บุญญาภิสมภาร รองประธานมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกระเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ได้มีโอกาสทำงานกับครอบครัวที่มีบุตรหลานหลากหลายเพศ พบว่าพ่อแม่มักมีความรู้สึกว่าตนเองทำอะไรผิด ถึงมีลูกเป็น LGBTQIAN+ จึงต้องทำอย่างไรให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านั้นไปได้ ในเวลาเดียวกันลูกก็จะรู้สึกว่าตนเองต้องทำเกินกว่าคนอื่น ๆ เพื่อให้ได้รับการยอมรับ ทั้ง ๆ ที่การได้รับความรักเป็นเรื่องพื้นฐานของครอบครัว จึงทำคู่มือชื่อ “บ้านนี้มีความหลากหลาย” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจสำหรับครอบครัวที่มีบุตรหลานหลากหลายเพศ สำหรับเรื่องการสื่อสารอย่างไรให้เท่าเทียมนั้น สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา คือต้องไม่ตั้งสมมุติฐานว่า “ทุกคนจะเหมือนเรา” ต้องมีทัศนคติว่าคนมีความแตกต่าง มีความเฉพาะและมีชีวิตของตัวเอง การสื่อสารก็จะเป็นการสื่อสารด้วยความเคารพ เช่น เราเป็นผู้หญิงข้ามเพศ ก็ควรถามเราว่าอยากให้เรียกว่าอะไร บางคนยังไม่เปลี่ยนชื่อ ชื่อยังเป็นผู้ชายก็อาจไม่อยากให้เรียกชื่อนั้นก็ได้ เป็นต้น ในฐานะสื่อต้องเรียนรู้ความแตกต่างหลากหลาย อย่าใช้คำนี้ไปครอบทุกอย่าง และต้องเห็นความหลากหลายเรื่องคนข้ามเพศ ที่ไม่ได้มีแค่ผู้หญิง ผู้ชาย แต่มีnon-binary ด้วย เป็นเรื่องที่เราต้องรู้เท่าทัน เพราะโลกเดินมาไกลมาก

คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล และผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง เปิดเผยว่า การสื่อสารอย่างเท่าเทียมและความเปลี่ยนแปลงจะเกิดได้จริง จะต้องเปลี่ยนที่ทัศนคติของคนในสังคม โดยเฉพาะในสถาบันการศึกษาซึ่งเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดในการสร้างความเข้าใจเรื่องความเท่าเทียมในสังคมไทย โดยเฉพาะผู้ใหญ่อย่างครูที่จะต้องเปิดกว้างกับนักเรียนด้วยความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ แม้ว่าปัจจุบันนี้ ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่ผลักดันมาตั้งแต่ตอนที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะผ่านความเห็นชอบและเตรียมเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาภายในระยะเวลารวดเร็วกว่าที่คาดไว้ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความเข้าใจแก่สังคมให้มองว่ามนุษย์เท่ากัน เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่เราทุกคนควรได้แต่กำเนิด ซึ่งจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมาจากการหล่อหลอมของสถาบันการศึกษา ในส่วนของมุมมองที่มีต่อสื่อนั้น มองว่าปัจจุบันคนทำสื่อมีความตระหนักกับประเด็นเหล่านี้มากขึ้น เมื่อสื่อมีการเรียกหรือคำพูดที่ไม่เหมาะสมจะมีการฟีดแบ็คจากสังคมทันที และหวังว่าเมื่อมีการสื่อสารถึงตัวละครที่มีความหลากหลายทางเพศ จะมีการใส่ความเป็นมนุษย์เข้าไปมากกว่าการสร้างภาพจำบางอย่างดังที่เคยมีมาในอดีต ซึ่งปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นมาก และในส่วนตัวแล้วนั้นจะต่อสู้จนถึงวันที่ไม่มีคำว่าซีรีส์วาย LGBTQIAN+ เพราะทุกคนเท่ากันหมด โดยไม่ต้องตัดสินว่าคนอื่นมีรสนิยมทางเพศแบบไหน เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล

คุณรัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น นักแสดงชื่อดัง ให้ความคิดเห็นถึงความแตกต่างของสังคมไทยกับในต่างประเทศโดยเฉพาะที่ประเทศสวีเดนว่า มีความแตกต่างกันมากโดยในเชิงปฏิบัติของประเทศไทยนั้นมีความย้อนแย้งกับกฎหมายที่กำลังรอการพิจารณาจากวุฒิสภา ขณะที่ในต่างประเทศให้การยอมรับและมีจุดยืนที่ชัดเจน เช่น ตำรวจ แพทย์ นักการเมือง ที่มีจากหลากหลายอาชีพก็สามารถแสดงออกได้ รวมถึงเรื่องการท่องเที่ยว การรับรองบุตร ที่สามารถเปิดรับสิทธิในเรื่องนี้  โดยมองว่าเรื่องของการเป็นบุคคลข้ามเพศเป็นเรื่องของรสนิยมทางเพศที่เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลก ถือเป็นการให้เกียรติทางสังคม ต้องให้ความเคารพความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีหลายประเทศให้การยอมรับและสนับสนุนในเรื่องนี้ และถ้าเลือกปฏิบัติอาจจะเสียโอกาสที่จะได้บุคลากรที่ดี ส่วนเรื่องความคิดเห็นเรื่องการสื่อสารอย่างไรนั้น มองว่าให้เน้นในเรื่องของความมีมารยาท นำมาใช้ในการสื่อสารทางสังคม

คุณดารัณ ฐิตะกวิน นักแสดงชื่อดัง เผยมุมมองว่า การสื่อสารให้เท่าเทียมต้องเริ่มจากความเป็นพ่อแม่ที่ต้องเปิดรับเปิดกว้าง ทำให้ลูกเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคมในภาพกว้าง เข้าใจในเรื่องการใช้ชีวิตที่มากกว่าเรื่องของรสนิยมทางเพศ เพราะเราเป็นมนุษย์ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ด้วยกัน เราทุกคนอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง อะไรที่ผ่านมาก็มีสิ่งที่ดีที่เราเรียนรู้ นอกจากนี้ทัศนคติของสังคมคือเรื่องสำคัญ โดยควรมองให้เป็นเรื่องปกติ และไม่ใช้เรื่องเพศในการนำทางชีวิตคู่ แต่ใช้ความเอื้ออาทร ความสบาย ความสุขที่อยู่ด้วยกัน ถ้าสนใจจะพัฒนาตัวเองมากกว่าการวิจารณ์คนอื่น สังคมจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทำให้ทุกอย่างเป็นการใช้ชีวิต ทุกสิ่งคือธรรมชาติของมนุษย์ และนำพาไปสู่ความเป็นปกติ

#สื่อสารเท่าเทียม #บยสส3 #อิศรา

Categories
ข่าว ทั้งหมด

ผู้ว่าฯ ประจวบฯ เปิดงานเดือนห้านมัสการหลวงพ่อในกุฏิ วัดกุยบุรี ครบรอบ 153 ปี

ผู้ว่าฯ ประจวบฯ เปิดงานเดือนห้านมัสการหลวงพ่อในกุฏิ วัดกุยบุรี ครบรอบ 153 ปี

วันที่ 21 เมษายน 2567 นายสมคิด จันทมฤก ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วย ผศ.ดร.ศศิธร จันทมฤก นายกเหล่ากาชาดจังหวัดประจวบฯ เป็นประธานเปิดงานเดือนห้านมัสการหลวงพ่อในกุฏิ วัดกุยบุรี ครบรอบ 153 ปี ที่วัดกุยบุรี อ.กุยบุรี จ.ประจวบฯ โดยได้รับเมตตาจากพระธรรมวชิรสิทธาจารย์ เจ้าคณะภาค 15 เจ้าอาวาสวัดคลองวาฬ พระอารามหลวง ประธานฝ่ายสงฆ์ พระเทพวชิรสุธี เจ้าคณะจังหวัดประจวบฯ (ธรรมยุต) เจ้าอาวาสวัดธรรมิการามวรวิหาร พระราชรัตนวิสุทธิ์ เจ้าคณะจังหวัดประจวบฯ (มหานิกาย) เจ้าอาวาสวัดกุยบุรี พร้อมด้วยพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์เข้าร่วมในพิธี มีนายกิตติพงศ์ สุขภาคกุล นายคมกริช เจริญพัฒนสมบัติ นายสินาทร โอ่เอี่ยม รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอกุยบุรี หัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แขกผู้มีเกียรติและประชาชน พุทธศาสนิกชนจำนวนมากเข้าร่วมงาน โดยก่อนเปิดงานมีขบวนแห่อัญเชิญหลวงพ่อในกุฏิ เพื่อให้ชาวบ้านกราบนมัสการบูชาพร้อมเครื่องสักการะ ซึ่งงานดังกล่าวทางวัดจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มานมัสการปิดทองรูปหล่อหลวงพ่อในกุฏิ ระหว่างวันที่ 21 – 29 เมษายน เป็นเวลา 9 วัน 9 คืน

หลวงพ่อในกุฏิ เดิมชื่อมาก หรือบุญมาก ท่านเกิดในราวปีมะเส็ง สมัยแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นน้องคนสุดท้องของ 3 พี่น้อง คือ ท่านอินทร์ ท่านม่วง และท่านมาก มีพี่น้องสี่คน น้องคนสุดท้องเป็นผู้หญิง เป็นคนปักษ์ใต้โดยกำเนิด น่าจะอยู่จังหวัดชุมพร ตระกูลของหลวงพ่อเป็นตระกูลที่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก เมื่ออายุครบบวช ท่านและพี่ชายได้ออกบวชและครองสมณเพศตลอดชีวิต หลวงพ่อทั้งสามเชี่ยวชาญเรื่องเวชกรรม ไสยศาสตร์ และวิปัสสนากัมมัฏฐาน เมื่อบวชเป็นเวลาพอสมควรแล้วจึงชวนกันออกธุดงค์ มีความแตกฉานในสรรพวิชาทั้งสามองค์ เมื่อได้อยู่จำพรรษาที่วัดเดิมกันมาตามสมควรแล้ว จึงชักชวนกันเดินธุดงค์ โดยหลวงพ่ออินทร์ เลือกมาจำพรรษาที่เมืองกำเนิดนพคุณ หรือเมืองบางสะพาน ปัจจุบันมีรูปเหมือนของท่านประดิษฐานอยู่ที่วัดเขาโบสถ์ อ.บางสะพาน หลวงพ่อม่วง น้องคนกลาง เลือกจำพรรษาที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ระหว่างบ้านกรูดและทับสะแก ถ้ำแห่งนั้น คือถ้ำคีรีวงศ์ และกลายเป็นวัดถ้ำคีรีวงศ์ในปัจจุบัน ส่วนหลวงพ่อมาก หรือหลวงพ่อในกุฏิ เลือกจำพรรษาที่เมืองกุยบุรี ที่วัดกุยบุรี วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง มีแม่น้ำกุยบุรีไหลผ่านทางด้านหลังวัดและตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ที่พระภิกษุจะต้องออกไปบิณฑบาตรในเวลาเช้า นับเป็นสับปายะของผู้อยู่อาศัย ถึงจะไม่ไกลจากหมู่บ้าน แต่ก็ปราศจากเสียงอื้ออึงเข้ามารบกวน สมเป็นที่หลีกอยู่ของสมณะผู้ใคร่หาความสงบ หลวงพ่อในกุฏิเป็นผู้ที่ใฝ่ใจในด้านหาความสงบทางจิตยู่แล้ว จึงได้รับอาราธนาจากเจ้าเมืองและชาวกุยบุรี ปกครองวัดกุยบุรีตลอดมา

ปฏิปทาของหลวงพ่อในกุฏิ ท่านเป็นผู้เคร่งครัดในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน และชำนาญคล่องแคล่วด้านไสยศาสตร์คาถา นับว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีอาคมขลัง พร้อมทั้งเป็นผู้มีเมตตาจิตอย่างสูง ทั้งเป็นผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย คือเมื่อพูดคำใดแล้วจะต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นดังนี้ชาวเมืองกุยบุรี เมืองคลองวาฬ เมืองปราณ ตลอดจนถึงเมืองใกล้เคียง จึงศรัทธาเลื่อมใสในบุญบารมีเป็นอันมาก เมื่อใดได้รับทุกข์ ก็จะต้องหาโอกาสมาบนบานศาลกล่าว ขอให้ช่วยปัดเป่าให้ผ่อนคลายหายจากทุกข์นั้นๆ ครั้นเมื่อได้รับความสำเร็จแล้ว หรือสมความปรารถนาจากที่ตนได้บอกกล่าวกับหลวงพ่อไว้แล้ว ก็จะต้องนมัสการและปิดทองที่ตัวท่านเป็นจำนวนมาก แม้ในปัจจุบันรูปเหมือนหลวงพ่อในกุฏิก็ยังมีคนมาปิดทองท่านอยู่ตลอดมา.

Categories
ข่าว ทั้งหมด

กระบะชนซาเล้งกลับรถกระเด็นจากรถบาดเจ็บ

กระบะชนซาเล้งกลับรถกระเด็นจากรถบาดเจ็บ

วันที่ 20 เมษายน 2567 ศูนย์วิทยุกู้ภัยมูลนิธิหลวงพ่อในกุฏิ วัดกุยบุรี รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุรถกระบะชนกับรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง หรือซาเล้ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ บนถนนเพชรเกษมฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ บริเวณจุดกลับรถบ้านดอนกลาง ต.สามกระทาย อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงส่งเจ้าหน้าที่พร้อมรถพยาบาลออกตรวจสอบ พร้อมด้วยตำรวจสายตรวจจราจร สภ.สามกระทาย และเจ้าหน้าที่กู้ภัยตำรวจทางหลวงจุดกุยบุรี

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบคนขับขี่รถซาเล้งนอนอยู่บนถนน ที่ขาข้างซ้ายมีแผลแตกเล็กน้อย เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนนำส่งโรงพยาบาลกุยบุรี ทราบชื่อต่อมาว่านายนิธิ เพชรม่วง อายุ 72 ปี ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์แบบพ่วงข้าง ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงินดำ ทะเบียน ขงม 548 ประจวบคีรีขันธ์ ตัวรถถูกชนจนเอียงพับอยู่กับตัวพ่วงข้าง และไม่ไกลกันนัก พบรถกระบะอีซูซุตอนเดียว สีเทา ทะเบียน บย 9782 ประจวบคีรีขันธ์ จอดอยู่ไหล่ทาง ด้านหน้ามีร่องรอยจากการชน จนกันชนพังยุบ ไฟหน้าซ้ายแตก ป้ายทะเบียนหน้าหลุดออก ส่วนคนขับทราบชื่อว่านายเอกชัย นวลผ่อง อายุ 41 ปี ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ยืนรอให้การกับเจ้าหน้าที่อยู่

จากการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดของร้านค้าที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุ พบว่า นายนิธิขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างข้ามถนนตรงจุดกลับรถ และขี่ข้ามตัดหน้ารถกระบะของนายเอกชัยอย่างกะทันหัน ทำให้รถกระบะชนซาเล้งของนายนิธิอย่างจัง จนทั้งรถทั้งคนกระเด็นเข้าข้างทางและได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้สอบสวนและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.

พันธุ์พงษ์ โพธิ์จินดา….รายงาน

Categories
ข่าว ทั้งหมด

ชาวบ้านจะงมหอย หาปลา แต่เจอซากรถยนต์หลายชิ้นส่วน ในบึงใหญ่

ชาวบ้านจะงมหอย หาปลา แต่เจอซากรถยนต์หลายชิ้นส่วน ในบึงใหญ่

วันที่ 20 เมษายน 2567 พ.ต.ท.จรัญ สุขสวัสดิ์ สารวัตรสอบสวน สภ.คลองวาฬ รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบชิ้นส่วนของรถยนต์หลายรายการ ขณะกำลังงมหอยหาปลา คาดว่ามีคนนำเอามาทิ้งในบึงน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของบริษัททิปโก้ หมู่ 5 บ้านหุบผึ้ง ต.ห้วยทราย อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำของหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างประจวบฯ ร่วมตรวจสอบ

เมื่อไปถึงเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ เนื้อที่หลายสิบไร่ จุดบริเวณที่ชาวบ้านพบซากรถ เป็นบึงความลึกประมาณ 3 เมตร จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าเป็นซากชิ้นส่วนของรถยนต์กระบะ 4 ประตู ยี่ห้อฟอร์ดแรงเจอร์ สีบรอนซ์เงิน ไม่พบหัวเก๋ง โครงคัสซี และป้ายทะเบียนของรถ คาดว่าถูกนำมาทิ้งไว้หลายเดือนแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้ชุดประดาน้ำของเจ้าหน้าที่กู้ภัย งมหาซากรถขึ้นมาทั้งหมด พร้อมใช้รถเครนยกซากรถที่พบขึ้นมาจากน้ำ มีประตู 2 บาน กระบะท้าย 1 ชิ้น ฝาปิดท้ายกระบะ 1 ชิ้น กล่องเก็บของคอนโซลกลางหัวเก๋ง 1 ชิ้น และเหล็กกันชนท้ายรถอีก 1 อัน ซึ่งทุกชิ้นถูกตัดด้วยแก๊สแยกชิ้นส่วน ก่อนนำมาทิ้งไว้

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำซากชิ้นส่วนไปเก็บไว้ที่ป้อมยามจุดตรวจบ้านต้นเกตุ พร้อมประสานให้ตำรวจชุดตรวจพิสูจน์หลักฐานมาตรวจเก็บวัตถุพยาน เพื่อหาที่มาของชิ้นส่วนรถ และเจ้าของชิ้นส่วนเป็นใคร สาเหตุที่นำเอามาทิ้ง เกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมอำพรางหรือไม่ หรือถูกแยกชิ้นส่วนทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน หรือเป็นของพวกแก๊งโจรกรรมรถแล้วแยกชิ้นส่วนขาย

ชาวบ้านที่งมหอยหาปลาอยู่ในพื้นที่ เปิดเผยว่า พี่ชายของตนมางมหอยหาปลาที่บึงแห่งนี้ ระหว่างนั้นพบซากชิ้นส่วนของรถ จึงเกรงว่าจะมีคนตายอยู่ในรถ และโทรศัพท์ไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ ทั้งนี้เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา เจอซากประตูของรถไป 1 บานแล้ว และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปเก็บไว้ที่โรงพัก สภ.คลองวาฬ และเมื่อน้ำในบึงแห้งลง จึงพบซากชิ้นส่วนอื่นๆ เพิ่มเติมอีกดังกล่าว.

เอกภพ วงษ์ประเสริฐ….รายงาน

Categories
ข่าว ทั้งหมด

เทศบาลหัวหินเร่งตรวจสอบ หลังเจ้าของคาร์แคร์โวยบิลค่าน้ำประปาแพง เดือนเดียวเกือบ 4 หมื่นบาท

เทศบาลหัวหินเร่งตรวจสอบ หลังเจ้าของคาร์แคร์โวยบิลค่าน้ำประปาแพง เดือนเดียวเกือบ 4 หมื่นบาท

วันที่ 19 เมษายน 2567 จากกรณีมีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Moly Car Care @Hua-Hin ได้โพสต์ภาพใบแจ้งหนี้ค่าน้ำประปาของเทศบาลเมืองหัวหิน พร้อมข้อความ “อะไรกันวะเนี้ย…น้ำประปาแ-งก็ไม่ไหล มันมาจากไหนวะ 38,624.70 บาท ซื้อน้ำใช้เองเกือบหมื่นบาท” โดยภาพใบเสร็จค่าน้ำประปาระบุเดือนมีนาคม 2567 รวมทั้งสิ้น 38,624.70 บาท ไม่มียอดค้างชำระ จนเป็นกระแสในโลกโซเซียลและมีคนเข้ามาคอมเม้นท์กันเป็นจำนวนมากถึงค่าน้ำประปาที่สูงเกินไป

นายภูดิส อรุโณรส อายุ 55 ปี เจ้าของร้านโมลีคาร์แคร์หัวหิน ในเขตเทศบาลเมืองหัวหิน จ.ประจวบฯ เจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว เล่าว่า ตนได้รับใบแจ้งหนี้ค่าน้ำประปาจากจากเจ้าหน้าที่ประปาเทศบาลหัวหินที่นำมาส่งให้ที่ร้าน พอเห็นบิลรู้สึกตกใจมากเนื่องจากค่าน้ำประปาที่สูงผิดปกติเกือบ 4 หมื่นบาท สอบถามเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้รับคำตอบ แจ้งว่าให้ไปติดต่อที่การประปาฯ เอง ตนเปิดร้านคาร์แคร์มาถึง 17 ปี ปกติค่าน้ำประปาของเทศบาลเมืองหัวหินทุกๆ เดือนจะอยู่ที่ประมาณ 500 บาท รวมกับที่ตนต้องสั่งซื้อน้ำจากรถบรรทุกน้ำเอกชนมาสำรองให้เพียงพอ เพื่อไม่ให้น้ำในระบบขาดในแต่ละเดือน จะรวมค่าน้ำอยู่ที่ 2 – 3 พันบาท โดยเฉพาะเดือนมีนาคม – เมษายน เป็นที่ทราบกันดีว่า หัวหินจะมีน้ำประปาไม่เพียงพอ ที่ร้านตนแทบจะไม่มีน้ำไหลลงถังเก็บน้ำเลยตลอดทั้งเดือน ที่ผ่านมาต้องซื้อน้ำจากเอกชนเกือบหนึ่งหมื่นบาทแล้ว ยิ่งพอมาเจอบิลค่าน้ำประปาของเทศบาล กว่าสามหมื่นแปดพันบาท ก็รู้สึกโมโห เนื่องจากตนไม่ได้ใช้น้ำ หรือไม่มีน้ำมาให้ใช้ ราคาสูงแบบนี้ตนจ่ายไม่ได้แน่นอน

ล่าสุด นายมนตรี หนูนารถ หัวหน้างานติดตั้งมิเตอร์กองการประปา เทศบาลเมืองหัวหิน ชี้แจงว่า หลังได้พูดคุยกับเจ้าของร้านพร้อมตรวจสอบสถิติการใช้น้ำทางร้านตั้งแต่ปี 2565 – 2567 ดูแล้วว่าเป็นการใช้น้ำที่กระโดดขึ้นมาจากการใช้น้ำเดิม ต้องตรวจสอบสาเหตุก่อนว่ามิเตอร์ชำรุดหรือไม่ หรือวเป็นการใช้น้ำที่มีการสูญเสียหรือรั่วไหลไหม อีกทั้งรอบเดือนนี้ประปาเทศบาลเมืองหัวหินประสบกับปัญหาภัยแล้ง เกิดการขาดแคลนน้ำ บางทีอาจจะเกิดจากการรอน้ำ ซึ่งมีการเปิดก๊อกน้ำทิ้งเอาไว้ อาจจะมีลมเดินในท่อ ก่อนน้ำจะไปถึง ทำให้เกิดการใช้น้ำที่ผิดปกติขึ้นได้ มีหลายปัจจัย จึงขอตรวจสอบประเมินมิเตอร์จากคนเก็บข้อมูลน้ำก่อน ว่าเกิดจากอะไร เกิดจากคนจดหรือเกิดจากการใช้น้ำจริงไหม คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 3 – 4 วันนี้ น่าจะทราบสาเหตุ และหากบ้านไหนเกิดปัญหาบิลค่าน้ำสูงผิดปกติ ขอให้เข้ามาแจ้งได้ที่งานติดตั้งมิเตอร์ เทศบาลเมืองหัวหิน จะมีเจ้าหน้าที่คอยรับเรื่องให้.

Categories
ข่าว ท่องเที่ยว ทั้งหมด

ททท.เพชรบุรี – ประจวบฯ ลุยเชียงใหม่ จัดงานชวนชาวเหนือเที่ยวทะเลชะอำ – หัวหิน

ททท.เพชรบุรี – ประจวบฯ ลุยเชียงใหม่ จัดงานชวนชาวเหนือเที่ยวทะเลชะอำ – หัวหิน

วันที่ 19 เมษายน 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเพชรบุรี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ ททท. สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ ททท.สำนักงานเชียงใหม่ และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน – ชะอำ ร่วมกับสายการบินแอร์เอเชีย ร่วมกันจัดงาน “Amazing Cha-Am – Hua Hin Consumer Fair” ม่วนอกม่วนใจ๋ แอ่วบินฟินได้ทุกวัน นำผู้ประกอบการท่องเที่ยวชั้นนำกว่า 20 ราย ในพื้นที่ชะอำและหัวหิน จากทะเลขึ้นเหนือ ไปร่วมเทศกาลท่องเที่ยวแห่งปี ส่งเสริมการขายกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวเชียงใหม่และชาวเหนือ ระหว่างวันที่ 26 – 28 เมษายน 2567 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ ชั้น G อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พบกับโปรโมชั่นโดนๆ แรงๆ จากผู้ประกอบการชะอำ – หัวหิน แบบไม่มียั้ง ไม่มีกั๊ก จัดเต็มสำหรับพี่น้องชาวเชียงใหม่และชาวเหนือ ครบทั้งแพ็กเกจท่องเที่ยว โรงแรม ที่พัก ที่เที่ยว ตั๋วเครื่องบิน สนามกอล์ฟ สินค้าและบริการท่องเที่ยวจากผู้ประกอบการและชุมชนชะอำ – หัวหิน มากกว่า 20 บูธ เพื่อดึงชาวเชียงใหม่และชาวเหนือมาเที่ยวชะอำ – หัวหิน ทั้งนี้ ททท.ทั้งสามสำนักงาน มั่นใจคนเชียงใหม่ รู้จักชะอำ – หัวหิน แล้วจะยิ่งรักเพชรบุรี – ประจวบฯ มาเที่ยวชะอำ – หัวหิน เพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน

นายนิติ วงษ์วิชาสวัสดิ์ ผู้อำนวยการ ททท.เพชรบุรี และนายอาชวันต์ กงกะนันทน์ ผู้อำนวยการ ททท.ประจวบฯ เปิดเผยว่า ททท.ทั้งสองสำนักงาน ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ชะอำและหัวหิน ร่วมกันจัดกิจกรรมการท่องเที่ยว “Amazing Cha-Am – Hua Hin Consumer Fair” ม่วนอกม่วนใจ๋ แอ่วบินฟินได้ทุกวัน วันที่ 26 – 28 เมษายน 2567 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัลเชียงใหม่ พร้อมนำผู้ประกอบการท่องเที่ยวไปออกบูธทำโปรโมชั่นเสนอขายให้กับพี่น้องชาวเชียงใหม่และชาวเหนือ ทำตลาดการท่องเที่ยวข้ามภูมิภาค ตามนโยบายของรัฐบาลและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย วัตถุประสงค์ไม่เพียงแต่การเสนอขายสินค้าและบริการท่องเที่ยวเพื่อดึงนักท่องเที่ยวชาวเชียงใหม่มาเที่ยวชะอำ – หัวหิน เท่านั้น แต่ยังต้องการนำเสนอพลัง Soft Power ของพื้นที่ชะอำ – หัวหิน ซึ่งมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวของชาวเพชรบุรีและประจวบฯ ไปสู่สายตาของชาวเชียงใหม่ สื่อสารสร้างการรับรู้ลงลึกถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิตของชาวเพชรบุรีและประจวบฯ โหมกระแสนำไปสู่การซื้อสินค้าและบริการท่องเที่ยวจากผู้ประกอบการเอกชนทั้งสองพื้นที่ นำไปสู่การเดินทางท่องเที่ยวที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจกระจายประโยชน์ลงไปในพื้นที่ชะอำ – หัวหิน ตามแนวคิด เพชรบุรี ประจวบฯ เที่ยวได้ 365 วัน สื่อสารด้วยแคมเปญ สุขทันที ที่เที่ยวเพชรบุรี – ประจวบคีรีขันธ์

ทั้งนี้ ชาวเชียงใหม่ที่มาช็อปในงาน ลุ้น Highlight พิเศษ บัตรโดยสารเครื่องบินเชียงใหม่ – หัวหิน ฟรี จากสายการบินแอร์เอเชีย และพบกับกิจกรรมสาธิต“ของดีเมืองเพชร – หัวหิน” อาทิ ขนมตาล ข้าวแช่ ต้นตำรับเมืองเพชร ประติมากรรมจากเกลือ (Art of Salt) และกิจกรรม “From Grape to Glass” การนำผลผลิตองุ่นสู่ไวน์คุณภาพของไร่องุ่นมอนซูน หัวหิน นอกจากนี้ ผู้มาช็อปภายในงานสามารถร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูป เช็คอิน เล่นเกมพร้อมรับของที่ระลึกและรางวัลพิเศษจากผู้ประกอบการที่มาร่วมออกบูธ.

Categories
ข่าว ทั้งหมด

เครือข่ายชาวสวนประจวบฯ จี้กรมวิชาการเกษตรตรวจสอบคุณภาพมะพร้าวนอก ค้างตู้คอนเทนเนอร์ 2.2 ตัน หลังมะพร้าวราคาพุ่งผลละ 23 บาท

เครือข่ายชาวสวนประจวบฯ จี้กรมวิชาการเกษตรตรวจสอบคุณภาพมะพร้าวนอก ค้างตู้คอนเทนเนอร์ 2.2 ตัน หลังมะพร้าวราคาพุ่งผลละ 23 บาท

วันที่ 18 เมษายน 2567 นายพงษ์ศักดิ์ บุตรรักษ์ แกนนำเครือข่ายชาวสวนมะพร้าวจังหวัดประจวบฯ เปิดเผยว่า ผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง แมลงศัตรูพืชระบาดอย่างหนัก ทำให้ราคามะพร้าวแกงที่จังหวัดประจวบฯ ราคาพุ่งผลละ 23 บาทในรอบหลายปี ขณะที่เครือข่ายได้แจ้งให้พี่น้องชาวสวนรักษาเสถียรภาพของราคาด้วยการสอดส่องการลักลอบนำเข้ามะพร้าวเถื่อน การขอโควตาตามกรอบเสรีการค้าเพื่อนำเข้ามะพร้าวนอก ซึ่งจะส่งผลกระทบกับราคาผลผลิตในประเทศ ทั้งนี้ จากการประชุมหารือร่วมกับหลายหน่วยงาน โดยกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สรุปข้อมูลการนำเข้าตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 มีมะพร้าวนอกต้องถูกทำลายทิ้ง หรือตีกลับประเทศต้นทาง เนื่องจากไม่ผ่านระเบียบการนำเข้า ล่าสุดมีมะพร้าวนอกตกค้างที่ท่าเรือกรุงเทพ 25 ตู้ๆ ละ 27 ตัน และท่าเรือแหลมฉบัง 58 ตู้ๆ ละ 27 ตัน ทั้งสองท่าเรือรวมกันประมาณ 2,241ตัน ดังนั้นจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อย่าให้มีการนำมะพร้าวงอกในถุงตาข่าย ถูกปลุกเสกให้สูญหายคล้ายกับคดีหมูเถื่อน

“ล่าสุดได้รับแจ้งเป็นเอกสารจากฝ่ายปกครองอำเภอบางสะพาน ขอให้เกษตรกรอำเภอไปตรวจสอบมะพร้าวนำเข้า ที่ล้งแห่งหนึ่งที่ ต.ทองมงคล อ.บางสะพาน ระบุว่าเป็นรอบนำเข้าในเดือนมีนาคม 2667 ซึ่งกรณีนี้น่าจะมาจากการที่ทีมงานนายทุนล้งมะพร้าวในจังหวัดประจวบฯ ร่วมกับนายทุนโรงกะทิรายใหญ่ ไปพบรัฐมนตรีรายหนึ่งในช่วงที่มะพร้าวผลละ 23 บาท ก่อนเทศกาลสงกรานต์ อาจทำให้มีการอนุญาตให้นำมะพร้าวนอก ซึ่งจะต้องตรวจสอบว่าเป็นมะพร้าวแก่ที่เป็นของนอกติดค้างที่ท่าเรือหรือไม่ และต้องถามกรมวิชาการเกษตรว่าใช้หลักการและเหตุผลใด หากนำมะพร้าวแก่ หรือจะนำเอามะพร้าวงอกที่สั่งนำเข้ามากะเทาะทำมะพร้าวขาว หรือเห็นมะพร้าวในประเทศราคาดีเกินไป กลัวชาวสวนจะมีความสุข” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

นายประมวล พงศ์ถาวราเดช สส.เขต 3 จังหวัดประจวบฯ กล่าวว่าจังหวัดประจวบฯ มีพื้นที่ปลูกมะพร้าวมากที่สุดในประเทศไทย แต่ที่ผ่านมามีปัญหาแมลงศัตรูพืชระบาดอย่างหนัก และอยู่ระหว่างการแก้ไขระเบียบเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้จ่ายงบประมาณเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรเร่งด่วน ส่วนการนำเข้าจากต่างประเทศจะต้องมีกรมวิชาการเกษตรตรวจสอบเข้มงวด หากพบว่าผู้ประกอบการไม่ได้ทำตามระเบียบ ก็ต้องสั่งตีกลับไปประเทศต้นทาง สำหรับมะพร้าวนำเข้าที่ผ่านมามีไม่มาก จึงไม่กระทบกับราคาผลผลิตในประเทศ สิ่งที่น่ากังวลคือการนำมะพร้าวนอกไปจำหน่ายจ่ายแจกในตลาดภายนอกหรือที่เรียกว่าตลาดหัวขูด ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์ควรตรวจสอบให้เข้มงวด ส่วนผู้ประกอบการโรงกะทิที่สั่งนำเข้ามะพร้าวนอกและถูกกักสินค้าในจำนวนมากที่ท่าเรือ 2 แห่ง ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกวดขันให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย แม้ว่าผู้ประกอบการโรงงานกะทิรายใหญ่จะไปขอเข้าพบรัฐมนตรีรายหนึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อน

นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทีมงานในพื้นที่จังหวัดประจวบฯ ได้ตรวจสอบมะพร้าวนำเข้าอย่างเข้มงวด เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้มะพร้าวนอกในถุงตาข่ายต้องนำไปส่งกะเทาะที่ล้งมะพร้าวตามที่ระบุไว้ในเอกสารเท่านั้น ในอำเภอกุยบุรี บางสะพาน ทับสะแก เมืองประจวบฯ เมื่อไปถึงล้งแล้วห้ามเอาไปกระจาย หากฝ่าฝืนพบมีการกระทำความผิดจะมีโทษจำคุก 5 ปี นอกจากนั้นจะต้องติดตามการทำหน้าที่ของฝ่ายปกครองและเกษตรกรอำเภอ จะต้องตรวจคุณภาพที่ปลายทาง ว่าเป็นไปตามที่ระเบียบกฎหมายกำหนดหรือไม่ ทั้งมะพร้าวงอก มะพร้าวที่ไม่ผ่านรมควัน ที่มีการสุ่มตรวจสอบจากต้นทางที่ท่าเรือ แต่อาจจะไม่ทั่วถึง.

Categories
ข่าว ทั้งหมด

ประจวบฯ ถอดบทเรียนช่วงสงกรานต์ หลังพบอุบัติเหตุบาดเจ็บ – เสียชีวิตสูงเกินเป้า

ประจวบฯ ถอดบทเรียนช่วงสงกรานต์ หลังพบอุบัติเหตุบาดเจ็บ – เสียชีวิตสูงเกินเป้า

วันที่ 17 เมษายน 2567 นายสมคิด จันทมฤก ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบฯ เป็นประธานประชุมคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567 ที่ห้องประชุมสิงขร ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดประจวบฯ สรุปผลการดำเนินงานวันที่ 16 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ 6 ของการรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” พบว่าจังหวัดประจวบฯ มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 4 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 4 คน ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนยอดสะสม 6 วัน ตั้งแต่วันที่ 11 – 16 เมษายน มีอุบัติเหตุรวม 47 ครั้ง บาดเจ็บรวม 46 คน เสียชีวิตรวม 5 คน โดยในวันพรุ่งนี้จะมีพิธีปิดศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 พร้อมสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้ง 7 วัน และเตรียมถอดบทเรียนการทำงานเพื่อวางมาตรการความปลอดภัยทางถนนต่อไป หลังพบว่าปีนี้จำนวนอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิตในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของจังหวัดประจวบฯ สูงเกินกว่าเป้าหมายค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีแล้ว จากที่ตั้งเป้าไว้ว่าอุบัติเหตุต้องน้อยกว่า 35 ครั้ง บาดเจ็บน้อยกว่า 36 คน และเสียชีวิตน้อยกว่า 3 คน

นายสมคิด จันทมฤก ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบฯ กล่าวว่า ขณะนี้เหลืออีก 1 วัน ในการเฝ้าระวังอุบัติเหตุเข้มข้นช่วงเทศกาลสงกรานต์ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอำนวยความสะดวกประชาชนอย่างเต็มที่ เพราะอาจจะมีประชาชนบางส่วนที่ยังอยู่ระหว่างการเดินทางหลังเทศกาล ทั้งนี้ จากสถิติพบว่าจังหวัดประจวบฯ มีเจ้าของรถที่ไม่ทำประกันภัยภาคบังคับ สูงถึงกว่าร้อยละ 50 ของรถที่จดทะเบียน ส่วนใหญ่เป็นรถจักรยานยนต์ ดังนั้นจึงต้องเร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านทุกช่องทาง สร้างความตระหนักให้เจ้าของรถเห็นความสำคัญของการทำประกันภัยภาคบังคับ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายกรณีประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน นอกจากนี้ ต้องเน้นย้ำให้ผู้ที่ดื่มแล้วขับ ทำผิดซ้ำ รับทราบถึงโทษตามกฎหมาย และผลกระทบที่จะตามมา หากเกิดอุบัติเหตุด้วย.

Categories
ข่าว ทั้งหมด

รองปลัดสำนักนายกฯ ตรวจพื้นที่หัวหินและให้กำลังใจจิตอาสาช่วยดูแลประชาชนช่วงสงกรานต์

รองปลัดสำนักนายกฯ ตรวจพื้นที่หัวหินและให้กำลังใจจิตอาสาช่วยดูแลประชาชนช่วงสงกรานต์

วันที่ 16 เมษายน 2567 นายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานจิตอาสาภาครัฐ สำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่จุดอำนวยความสะดวกประชาชนหน้าที่ว่าการอำเภอหัวหิน ถนนบาสพาสชะอำ – ปราณบุรี ขาล่อง และจุดตรวจถนนเพชรเกษมขาล่อง หน้าท่าอากาศยานหัวหิน จ.ประจวบฯ เพื่อตรวจดูสภาพการจราจรซึ่งอยู่ในสภาพคล่องตัว พร้อมทั้งให้กำลังใจเครือข่ายจิตอาสาที่ร่วมกันให้บริการประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมี น.ส.นลิน มาคเชนทร์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดประจวบฯ นางอาภัสรา ชุมทอง จัดหางานจังหวัดประจวบฯ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อปพร. และจิตอาสา 904 ให้การต้อนรับ

นายมงคลชัย สมอุดร กล่าวว่า การลงพื้นที่ในวันนี้ ได้เห็นการทำงานร่วมกันของจิตอาสาภาคประชาชน รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อประชาชนทุกคนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ท่ามกลางความร้อนของอากาศ มีการเตรียมพร้อมในการที่จะช่วยเหลือดูแลประชาชนในระหว่างการสัญจรไปมาระหว่างจังหวัด ทั้งในเรื่องของรถเสียก็จะมีรถเข้าไปบริการช่วยดูแล เช่น มีนักเรียนจิตอาสาอาชีวะ รวมถึงจิตอาสาภาคประชาชน ทั้งนี้ อยากจะฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกท่าน ขอให้อยู่บนพื้นฐานของการระมัดระวังในการเดินทาง ขอให้มีการตรวจสอบรถยนต์พาหนะในการเดินทาง เรื่องของการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นเครื่องมึนเมา ขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ และเป็นมหาสงกรานต์ที่ทุกคนมีความสุขกับครอบครัว.

Categories
กีฬา ข่าว ทั้งหมด

หัวหินรำลึกโผน กิ่งเพชร ครบรอบ 64 ปี วีรบุรุษนักชกไทยชาวหัวหิน แชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของไทย

หัวหินรำลึกโผน กิ่งเพชร ครบรอบ 64 ปี วีรบุรุษนักชกไทยชาวหัวหิน แชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของไทย

วันที่ 16 เมษายน 2567 นายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ ทองงามตระกูล นายกสมาคมกีฬาหัวหิน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารเทศบาลเมืองหัวหิน ปลัดเทศบาล สท. และแขกผู้มีเกียรติร่วมในพิธีบวงสรวงอนุสาวรีย์รูปปั้น โผน กิ่งเพชร ที่บริเวณสวนสาธารณะโผน กิ่งเพชร เขตเทศบาลเมืองหัวหิน จ.ประจวบฯ เพื่อรำลึกถึงวีรบุรุษนักชกไทยชาวหัวหินที่เคยสร้างชื่อเสียงชิงแชมป์โลกจากปาสคาล เปเรซ แชมป์โลกรุ่นฟลายเวท ชาวอาร์เจนตินาจนสำเร็จ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2503 เป็นแชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของประเทศไทย พร้อมกันนี้ในช่วงค่ำวันเดียวกัน เทศบาลเมืองหัวหินได้จัดการแข่งขันชกมวยไทยจากนักมวยในพื้นที่ประจวบฯ – เพชรบุรี จำนวน 9 คู่สุดมันส์ และนิทรรศการ “โผน กิ่งเพชร” ให้นักท่องเที่ยวได้ทราบชีวประวัติด้วย

“โผน กิ่งเพชร” หรือชื่อจริง นายมานะ สีดอกบวบ เป็นชาวหัวหินโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2478 ตั้งแต่เด็ก โผนชอบเล่นกีฬาโดยเฉพาะมวยสากล ต่อมาพี่ชายพาไปฝากกับนายห้างทองทศ อินทรทัต เจ้าของค่ายมวยกิ่งเพชร ย่านถนนเพชรบุรี ฝีมือพัฒนาขึ้นสามารถชนะน็อค กู้น้อย วิถีชัย แชมป์ฟลายเวทของเวทีราชดำเนินในขณะนั้นได้ ทั้งที่โผนอ่อนประสบการณ์กว่ามาก ต่อมาเข้าชิงแชมป์ภาคตะวันออกไกล (OPBF) และสามารถล้ม แดนนี คิด (Danny Kid) แชมป์เก่าชาวฟิลิปปินส์สำเร็จ โผนเริ่มมีชื่อติดอันดับโลก เป็นเส้นทางสู่การชิงแชมป์โลกในเวลาต่อมา กระทั่งวันที่ 16 เมษายน 2503 โผนขึ้นเวทีดวลหมัดกับยักษ์แคระ หรือปาสคาล เปเรซ (Pascual Perez) แชมป์โลกรุ่นฟลายเวทชาวอาร์เจนตินา ที่เวทีมวยลุมพินี ต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สามารถเอาชนะเปเรซได้สำเร็จ กลายเป็นนักมวยแชมป์โลกรุ่นฟลายเวทคนแรกของไทย และเป็นแชมป์เปี้ยนโลกได้ถึง 3 สมัย

ช่วงหลังโผนเริ่มติดสุรา ผลการชกตกต่ำลง ก่อนประกาศเลิกชกมวยในปี 2509 เมื่ออายุ 31 ปี ภายหลังโผนป่วยเป็นโรคเบาหวาน และเสียชีวิตด้วยโรคปอดและโรคแทรกซ้อน ด้วยวัยเพียง 47 ปี เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2525 ภายหลังโผนเสียชีวิต เทศบาลตำบลหัวหินในขณะนั้นร่วมกับหน่วยงานภาครัฐบาลและเอกชน จัดหาทุนสร้างอนุสรณ์สถานโผน กิ่งเพชร ลักษณะรูปปั้น สูง 2.20 เมตร ท่ายืนมือขวาชูกำปั้น มือซ้ายถือเข็มขัดแชมป์โลก โดยประติมากรผู้ปั้นรูปโผน คือนายนนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) ปี 2549 ตั้งไว้บริเวณชายหาดหัวหิน และทำพิธีเปิดงานวันอนุสรณ์สถานโผน กิ่งเพชร เมื่อ 16 เมษายน 2535 ปัจจุบันอนุสาวรีย์ โผน กิ่งเพชร ย้ายมาตั้งหน้าสวนสาธารณะโผน กิ่งเพชร พร้อมประวัติให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม โดยสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยกำหนดให้วันที่ 16 เมษายนของทุกปี เป็นวันนักกีฬายอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยด้วย.