Categories
ข่าว ทั้งหมด

ศาลจังหวัดประจวบฯ บรรยายพิเศษ “กระบวนการยุติธรรมกับองค์กรผู้บริโภค”

ศาลจังหวัดประจวบฯ บรรยายพิเศษ “กระบวนการยุติธรรมกับองค์กรผู้บริโภค”

วันที่ 30 สิงหาคม 2566 นายบุญรัตน์ จูอี้ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อความร่วมมือมิติใหม่ของกระบวนการยุติธรรมกับองค์กรผู้บริโภคประจวบฯ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในศาล และการปล่อยชั่วคราวตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่แก้ไขใหม่ ในเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อบทบาทของสภาผู้บริโภคจังหวัดประจวบฯ ปี 2566 มี น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค นายนันทปรีชา คำทอง ประธานสภาผู้บริโภคจังหวัดประจวบฯ ให้การต้อนรับ และมีเครือข่ายสมาชิกศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอ องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคตำบล ทั้ง 8 อำเภอ ผู้เชี่ยวชาญ ทนายความประจำสภาผู้บริโภคฯ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน ชมรมผู้สูงอายุ กลุ่มสตรีเทศบาลเมืองฯ สภาเด็กและเยาวชน ชุมชนคนสู้เหล้า เครือข่ายองค์กรงดเหล้า สภาองค์กรชุมชน เข้าร่วม ณ ห้องสิงขร โรงแรมประจวบแกรนด์ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์

จากนั้น ได้มีเวทีเสวนาการขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะกับบทบาทสภาผู้บริโภคจังหวัดประจวบฯ รับฟังความคิดเห็นปัญหาของผู้บริโภค ข้อเสนอแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อประโยชน์สาธารณะ รวมถึงแนวทางความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค พูดในประเด็น “ระบบบำนาญถ้วนหน้า 3,000 บาท/เดือน ให้ประชาชนเกษียณอายุ 60 ปีขึ้นไป” นายนันทปรีชา คำทอง ประธานสภาผู้บริโภคจังหวัด ประเด็น “CPTPP ความตกลงแบบครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก” นายสุวรรณกิตติ์ บุญเเท้ หัวหน้างานเฝ้าระวัง เพื่อสนับสนุนกลไกจังหวัด สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ประเด็น “สุราเสรีมีราคาที่ต้องจ่าย ใครจะรับผิดชอบ” และ น.ส.ธนพร บางบัวงาม หัวหน้าหน่วยงานประจำจังหวัดประจวบฯ สภาองค์กรของผู้บริโภค ดำเนินรายการโดย น.ส.สุรางค์ บารมี นักสื่อสารมวลชนชำนาญการ สวท.ประจวบฯ

น.ส.ธนพร บางบัวงาม กล่าวว่า จากการดำเนินงานสองปีที่ผ่านมา หน่วยงานประจำจังหวัดฯ และสภาผู้บริโภคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินการขับเคลื่อนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเชิงพื้นที่ 3 ประเด็น คือ ด้านที่ 1 สินค้าและบริการทั่วไป ประเด็นการซื้อขายสินค้าออนไลน์ “กรณีการจ่ายเงิน COD บริษัทขนส่งต้องเก็บเงินชั่วคราวอย่างน้อย 7 วัน ด้านที่ 2 อาหาร ยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ประเด็น“อาหาร ยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพไม่ปลอดภัย” ด้านที่ 3 อสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย ประเด็น“บ้านจัดสรรที่เลี่ยงจดทะเบียนการขออนุญาตตามกฎหมาย” สภาฯ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วนตลอดมา ขอขอบคุณทุกภาคส่วน หน่วยงานและภาคประชาชน ที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะในระดับชาติ และสร้างความร่วมมือในระดับพื้นที่ไปพร้อมกันทั้ง 3 หัวข้อหลักที่เสวนา เพื่อให้ทุกคนร่วมแสดงความคิดเห็นต่อบทบาทของสภาผู้บริโภคจังหวัดประจวบฯ ช่วยกันแลกเปลี่ยนมุมมอง ร่วมเสนอแนะแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อประโยชน์สาธารณะต่อไป.

บุญมา ลิบลับ….รายงาน

ข่าวแนะนำ
Categories
ข่าว ทั้งหมด

ประจวบฯ เปิดศูนย์เตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยทั้ง 8 อำเภอ

ประจวบฯ เปิดศูนย์เตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยทั้ง 8 อำเภอ

วันที่ 31 สิงหาคม 2566 นายคมกริช เจริญพัฒนสมบัติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบฯ เป็นประธานเปิดโครงการฝึกศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ จ.ประจวบฯ ประจำปีงบประมาณ 2566 – 2567 ที่ห้องประชุมสิงขร ศาลากลางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีหัวหน้าส่วนราชการ และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ องค์การสาธารณกุศล ร่วมประชุม เพื่อเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2566 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นายคมกริช เจริญพัฒนสมบัติ กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์อุทกภัยในประเทศนับวันจะทวีความรุนแรงและมีความถี่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการเกิดอุทกภัยในแต่ละครั้ง นอกจากจะสร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดและประเทศเป็นอย่างมาก การซักซ้อมการปฏิบัติงานศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด จึงเป็นการเตรียมพร้อมทั้งภาคทฤษฎี และการฝึกปฏิบัติในรูปแบบการฝึกบนโต๊ะ (TTX) การประสานความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ อย่างรวดเร็วในการเข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเมื่อเกิดเหตุการณ์สาธารณภัยขึ้นในพื้นที่ทั้ง 8 อำเภอ รวมทั้งสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินทดรองราชการตามระเบียบกระทรวงการคลัง เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินด้วย

นายเดชา เรืองอ่อน หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดประจวบฯ กล่าวว่า กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2566 โดยจัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัยจังหวัดและซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การเตรียมความพร้อมของศูนย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องตามแนวทางของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยนำแผนเผชิญเหตุอุทกภัย วาตภัย และดินถล่มจังหวัดประจวบฯ ปี 2566 – 2567 มาใช้ในการซักซ้อมการปฏิบัติ ให้เกิดความเข้าใจร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมทั้งสิ้นจำนวน 50 คน ประกอบด้วยหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด อำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัด ทั้งนี้ การดำเนินการฝึกศูนย์ฯประกอบด้วยการบรรยายภาคทฤษฎี และการฝึกปฏิบัติในรูปแบบการฝึกบนโต๊ะ (TTX) โดยวิทยากรจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดประจวบฯ.

Categories
ข่าว ท่องเที่ยว ทั้งหมด

เทศบาลชะอำ ชวนเที่ยวอิ่มอร่อยในงานเทศกาลกินหอย ตกหมึก @ ชะอำ ครั้งที่ 22

เทศบาลชะอำ ชวนเที่ยวอิ่มอร่อยในงานเทศกาลกินหอย ตกหมึก @ ชะอำ ครั้งที่ 22

วันที่ 30 สิงหาคม 2566 ที่ลานลีลาวดี เทอเรซ โรงแรมเมธาวลัย อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี นางวันเพ็ญ มังศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพซรบุรี นายนุกูล พรสมบูรณ์ศิริ นายกเทศมนตรีเมืองชะอำ นางทนาดา วิจักขณะ รองผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเพชรบุรี นายวสันต์ กิตติกุล นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันตก และนายบุญยืน พูลลาภ ประธานชมรมเชฟชะอำ/หัวหิน ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน “เทศกาลกินหอย ตกหมึก @ ชะอำ” ครั้งที่ 22 ระหว่างวันที่ 9 – 16 กันยายนนี้ ที่บริเวณจุดชมวิวชายหาดชะอำ โดยมีนางวาสนา ศรีกาญจนา นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน/ชะอำ หัวหน้าส่วนราชการ และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมรับฟัง

นายนุกูล กล่าวว่าชายหาดชะอำ เมืองท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศที่มีศักยภาพทาง ทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย โดยเฉพาะหาดทรายชายทะเล พร้อมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ด้านท่องเที่ยวไว้คอยบริการอย่างครบครัน เป็นที่รู้จักและนิยมแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ประกอบกับพื้นที่ชายฝั่งทะเลตั้งแต่อำเภอบ้านแหลม เรื่อยมาจนถึงอำเภอชะอำ มีการเพาะเลี้ยงหอยมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย และยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาหมึกที่ชุกชุม โดยเฉพาะชายฝั่งชะอำ ช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคมของทุกปี จะมีปลาหมึกมากและมีชาวประมงออกเรือไปจับปลาหมึกกลางทะเลเป็นจำนวนมาก จึงเป็นช่วงที่เหมาะสมกับการท่องเที่ยว สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่จึงได้ร่วมกันจัดงานเทศกาลกินหอย ดูนก ตกหมึก ขึ้นเป็นประจำทุกปี สำหรับการจัดงานในปีนี้ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นงานเทศกาลกินหอย ตกหมึก @ชะอำ เนื่องจากปัจจุบันนี้มีนกอพยพน้อยลง ทำให้กิจกรรมดูนกไม่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวแล้ว

ในปีนี้ เทศบาลเมืองชะอำร่วมกับ ททท.สำนักงานเพชรบุรี สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี และบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กำหนดจัดงาน “เทศกาลกินหอย ตกหมึก @ ชะอำ” ครั้งที่ 22 ขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 16 ก.ย.นี้ รวม 8 วัน 8 คืน ที่บริเวณจุดชมวิวชายหาดชะอำ ภายในงานมีการออกร้านจำหน่ายอาหารทะเลสดๆ เลิศรสที่ปรุงด้วยเมนูหอยเป็นหลักและอาหารอื่นๆ อีกหลากหลายจากโรงแรมและร้านอาหารชื่อดังใน อ.ชะอำ และจังหวัดเพชรบุรีกว่า 50 ร้าน ในราคายุติธรรมและเหมาะสมกับการที่จังหวัดเพชรบุรี ได้ชื่อว่าเป็นเมืองสร้างสรรค์อาหาร หรือ Phetchaburi City of Gastronomy อีกทั้งยังจัดให้มีการแสดงดนตรีบนเวทีทุกคืน วันที่ 9 ก.ย. แบมๆ แก้มใส วันที่ 10 ก.ย. พลอย เดอะวอยซ์ วันที่ 11 ก.ย. โดนัท วันที่ 12 ก.ย. เรไร ไลฟ์สด วันที่ 13 ก.ย. ข้าว ธิดาทิพย์ วันที่ 14 ก.ย. ฝ้ายไทย ไหทองคำ วันที่ 15 ก.ย. พชิหนองหินห่าว เจศุภกฤษ์ และวันที่ 16 ก.ย. หลีช้ง ไหทองคำ

นอกจากนี้ยังมีการออกร้านจำหน่ายสินค้าท้องถิ่นบนถนนคนเดิน รอบบริเวณจุดชมวิวชายหาดชะอำ และยังได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่หาได้เฉพาะในงานเทศกาลนี้ หนึ่งปีมีครั้งเดียวกับบริการนำนักท่องเที่ยวลงเรือตกหมึกกลางทะเลที่น่าตื่นเต้นประทับใจทุกวันในราคาถูกเป็นพิเศษ เพียงท่านละ 100 บาท พร้อมอุปกรณ์ตกหมึก “โยธกา’’ ไว้บริการบริเวณจุดหน้าทะเล โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานเปิดงาน พร้อมรังสรรค์เมนูจานเด็ดจากเซฟจากโรงแรมชั้นนำในพื้นที่ชะอำ โดยใช้ ปลาหมึกสดที่ได้มาจากประมงพื้นบ้าน แจกจ่ายให้นักท่องเที่ยวได้รับประทาน จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวและผู้สนใจเที่ยวชมงานตามวันดังกล่าวได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ.

Categories
ข่าว ทั้งหมด

ชาวบึงนคร – หนองพลับ ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม หลังถูกทหารขับไล่ออกจากที่ดินทำกินและดำเนินคดี

ชาวบึงนคร – หนองพลับ ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม หลังถูกทหารขับไล่ออกจากที่ดินทำกินและดำเนินคดี

วันที่ 30 สิงหาคม 2566 นายประยูร ขันแก้ว นายก อบต.บึงนคร พร้อมด้วยนายสุวิทย์ น้ำกลั่น กำนันตำบลบึงนคร อ.หัวหิน นำชาวบ้านบึงนครและหนองพลับ กว่า 30 คน เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับนายณัฐวิชช์ เลาหกุล อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีฯ นายปิติ กานตานนท์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด และ น.ส.สินีนาถ กอไพศาล รองอัยการจังหวัด ที่สำนักงานอัยการจังหวัดหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ กรณีที่ชาวบ้านบึงนครและหนองพลับได้รับความเดือดร้อนจากการถูกขับไล่ออกจากที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยที่ครอบครองมานานหลายสิบปี โดยศูนย์การทหารราบค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี ได้อ้างสิทธิครอบครองที่ราชพัสดุ แปลง ปข.605 ซึ่งภายหลังได้มีการกำหนดเป็นเขตปลอดภัยทางทหาร ส่งผลให้ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีไฟฟ้าใช้มานานจนถึงปัจจุบัน รวมถึงถูกข่มขู่ว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน หากชาวบ้านไม่ย้ายออกจากพื้นที่ เพื่อฝึกซ้อมรบพื้นที่ทางทหารในตำบลหนองพลับ 1.2 แสนไร่ และจะใช้พื้นที่ซ้อมรบด้วยกระสุนจริง ระเบิดจริงในหมู่ 1 หมู่ 9 ต.บึงนคร อีกเกือบ 1 หมื่นไร่ หากเกิดความเสียหาย ทางทหารจะไม่รับผิดชอบใดๆ รวมถึงได้มีการดำเนินคดีข้อหาบุกรุกที่ราชพัสดุอีกจำนวน 35 ราย

นายประยูร ขันแก้ว กล่าวว่า ชาวบ้านบึงนครหมู่ 1 หมู่ 9 และพื้นที่ใกล้เคียง ได้รับความเดือดร้อนจากที่ทหารขอใช้พื้นที่เป็นสนามฝึกซ้อมในการใช้กระสุนจริง โดยได้รับการประสานจากกำนันและชาวบ้านให้ช่วยเหลือในเรื่องนี้ จึงมาขอความเป็นธรรมจากอัยการ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านให้พ้นทุกข์ตรงนี้ สำหรับชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดีจำนวน 35 ราย เสียชีวิตไป 1 ราย โดยได้ยื่นเรื่องไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการทหาร แต่เรื่องก็เงียบไป อยากฝากปัญหาความเดือดร้อนนี้ถึงนายกรัฐมนตรี หรือหน่วยงานราชการ ช่วยแก้ไขให้ลุล่วงไปด้วยดี เพื่อให้ทหารกับประชาชนอยู่ร่วมกันได้

นายฉ่ำ อินทร์ศร อายุ 67 ปี ชาวตำบลหนองพลับ หนึ่งในผู้ถูกดำเนินคดี กล่าวว่า มีหมายศาลมาให้ตนไปขึ้นศาลวันที่ 25 กันยายนนี้ ตนและครอบครัวได้รับความเดือดร้อนจากการโดนขับไล่ออกจากที่ดินแปลงที่ทำกิน ซึ่งอยู่อาศัยมานานตั้งแต่รุ่นพ่อ ตั้งแต่ยังเป็นผืนป่า เมื่อปี 2565 ทหารมาแจ้งว่าบุกรุกที่ราชพัสดุ ให้ออกไป ถ้าไล่ออกแล้วจะให้ตนไปอยู่ที่ไหน ไม่มีเงินที่จะไปซื้อที่ใหม่ เพราะที่ดินแพง ถ้าทางทหารอยากได้ ควรที่จะเวนคืนจ่ายค่าทดแทน หรือหาที่ใหม่ให้มีที่ทำกิน ถ้ามาขับไล่แบบนี้ไม่รู้จะทำยังไง อยากให้คนที่มีหน้าที่ดูแลเข้ามาช่วยเหลือเรา อย่างน้อยก็ยืดเวลาไปก่อน

นายวิรัตน์ พวงเนตร อายุ 48 ปี ชาวบ้านตำบลบึงนคร กล่าวว่าได้รับความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่ที่อาศัยและที่ทำกิน ทหารได้อ้างสิทธิ์ว่าเป็นพื้นที่ทหารโดยที่พวกเราไม่รู้ เพราะว่าไม่ได้มีการออกมาประกาศ ติดป้ายหรือปักหมุดให้ชัดเจน พวกเราอยู่กันมานานแล้ว ตอนนี้มีปัญหาเรื่องการถูกขับไล่ จะให้รื้อบ้าน อยากให้หน่วยงานราชการ หรือเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านตรงนี้

ด้านนายปิติ กานตานนท์ อัยการจังหวัด กล่าวว่า วันนี้ได้รับเรื่องความเดือดร้อนเรื่องที่ดินที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของราษฎรในตำบลบึงนคร ว่าอยู่ในที่ราชพัสดุ ต่อมาได้มีการประกาศเป็นเขตปลอดภัยทางทหาร โดยสำนักงานการคุ้มครองสิทธิ เป็นตัวแทนนำชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนเข้ามาบันทึกถ้อยคำ พร้อมทั้งนำผู้ร้องมาพบ นำหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูก่อน จากนั้นจะรายงานข้อมูลไปยังสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายช่วยเหลือทางกฎหมาย 1 เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป.

Categories
ข่าว ทั้งหมด

เลขเด็ดโค้งสุดท้าย อายุวัฒนมงคล 67 ปี “พระพิศาลสิทธิคุณ” เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล

เลขเด็ดโค้งสุดท้าย อายุวัฒนมงคล 67 ปี “พระพิศาลสิทธิคุณ” เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล

วันที่ 30 สิงหาคม 2566 คณะศิษยานุศิษย์ได้จัดงานแสดงมุทิตาจิต เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันครบรอบอายุวัฒนมงคล 67 ปี 36 พรรษา พระพิศาลสิทธิคุณ หรือท่านเจ้าคุณไพโรจน์ ปภัสสโร เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล มีสมเด็จพระสังฆราชแห่งศรีลังกา, พระครูวิจิตรธรรมวิภัช เจ้าคณะอำเภอหัวหิน เจ้าอาวาสวัดบุษยะบรรพต, เจ้าอาวาสจากวัดต่างๆ ในเขตอำเภอหัวหิน พร้อมคณะสงฆ์กว่า 100 รูป ร่วมในพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์ มีนายพลกฤต พวงวลัยสิน นายอำเภอหัวหิน นางยุวนิตย์ ศรศิลป์ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์ และศิษยานุศิษย์ ทั้งตำรวจ ทหาร ประชาชนจำนวนมากเข้ากราบแสดงมุทิตาจิตเจ้าอาวาสกันอย่างต่อเนื่องที่วัดห้วยมงคล ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ พร้อมกันนี้ท่านเจ้าคุณไพโรจน์ได้แจกข้าวสารอาหารแห้งแก่ผู้ยากไร้ 360 ชุด และทุนการศึกษาให้กับนักเรียน 6 โรงเรียน จำนวน 100 ทุนๆ ละ 500 บาท พร้อมทั้งปะพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้กับผู้มาร่วมงานทุกคนก่อนเดินทางกลับ เพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย โดยลูกศิษย์ต่างนำเลขอายุเจ้าอาวาสไปเสี่ยงดวงงวดนี้ตามๆ กัน

“พระพิศาลสิทธิคุณ” เดิมชื่อนายไพโรจน์ ทองลอย เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2499 เป็นบุตรของนายทองสุขและนางเรียง ทองลอย เป็นชาวหัวหินโดยกำเนิด จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนหัวหิน และสำเร็จการศึกษาปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตหัวหิน เมื่อปี 2554 เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2530 ณ พัทธสีมา วัดสมุทรคาม ต.บางเก่า อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เมื่อได้อุปสมบทแล้วได้ไปศึกษาพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกธรรมที่สำนักเรียนวัดราษฎร์เจริญธรรม จ.เพชรบุรี จนสอบได้นักธรรมเอก ต่อมาญาติโยมพร้อมด้วยคณะกรรมการวัดห้วยมงคลได้พร้อมใจกันไปอาราธนาท่านและได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล ต่อจากหลวงพ่อปลั่ง ปภาโส เจ้าอาวาสองค์แรก เมื่อปี พ.ศ.2537 จนถึงปัจจุบัน ก่อนได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เข้ารับพระราชทานสถาปนาเลื่อนและแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระพิศาลสิทธิคุณ.

Categories
ข่าว ทั้งหมด

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ผนึกกำลังสมาคมนักข่าวลาว จัดประชุมพัฒนาสื่อดิจิทัลลาว

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ผนึกกำลังสมาคมนักข่าวลาว จัดประชุมพัฒนาสื่อดิจิทัลลาว

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ร่วมกับ สมาคมนักข่าวแห่งสปป.ลาว ร่วมกันจัดประชุม “ทิศทางการพัฒนาสื่อออนไลน์ของลาว” ณ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติลาว นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยมี ท่านสะหวันคอน ราซมนตรี ประธานสมาคมนักข่าวแห่ง สปป.ลาว ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด  สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดประชุมในครั้งนี้ เพื่อเป็นการติดตามผล “การอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะการเพิ่มรายได้ผ่านออนไลน์แพลตฟอร์มสำหรับสื่อมวลชนลาว” ที่เคยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24-26 กรกฏาคม 2565 ณ เมืองวังเวียง สปป.ลาว  

โดยนายระวี ตะวันธรงค์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ที่ปรึกษาสมาคมฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการสมาคมฯ ได้ร่วมกันเป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนกลยุทธ์การผลิตคอนเทนต์ ให้ตอบโจทย์เป้าหมายทางธุรกิจ และการตลาด Business Model รวมทั้งแนวทางการสร้างรายได้ โดยการประชุมครั้งนี้ได้รับความสนใจจากผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานในองค์กรสื่อมวลชนแขนงต่างๆในสปป.ลาว เข้าร่วมจำนวนมาก มีการตอบข้อซักถาม แลกเปลี่ยน ให้คำแนะนำในหลายประเด็น โดยเฉพาะแนวทางการหารายได้และการทำตลาดของสื่อลาว

ทั้งนี้การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ฟ้าใหญ่มีเดีย จำกัด (BigBlue Agency Laos)

Categories
กีฬา ข่าว ทั้งหมด

WBC Asia รับมอบรางวัลเชิดชู โผน กิ่งเพชร จากหอเกียรติยศมวยโลกสู่หัวหินบ้านเกิด

WBC Asia รับมอบรางวัลเชิดชู โผน กิ่งเพชร จากหอเกียรติยศมวยโลกสู่หัวหินบ้านเกิด

“โผน กิ่งเพชร” แชมเปี้ยนโลกชาวไทยคนแรก ได้รับเกียรติสูงสุดของวงการมวยโลก เชิญเข้าสู่หอเกียรติยศมวยโลก International Boxing Hall of Fame (IBHOF) ประจำปี ค.ศ.2023 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุด พ.อ.ธนพล ภักดีภูมิ ประธานสภามวยแห่งเอเซีย (WBC Asia) ได้รับมอบใบประกาศเกียรติยศของโผน อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเตรียมส่งต่อให้ กกท.เพื่อจารึกความภาคภูมิใจของพี่น้องชาวไทยต่อไป

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2566 ที่สำนักงานสภามวยแห่งเอเชีย (WBC Asia) มีการประชุมจัดอันดับนักมวยประจำเดือนสิงหาคม โดยมี พ.อ.โอม ปัจจักขะภัติ เป็นประธาน วาระการประชุมได้พิจารณาผลงานการชก การชิงแชมป์ การป้องกันแชมป์ รวมถึงความเคลื่อนไหววงการมวยสากล โดยวาระพิเศษเพิ่มเติม คือ พ.อ.ธนพล ภักดีภูมิ ประธานฯ ได้รับมอบใบประกาศเกียรติยศ International Boxing Hall of Frame จากกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งสถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ค เป็นผู้แทนไปรับมอบจาก IBHOF โดย WBC Asia จะเตรียมส่งมอบให้แก่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในวันเชิดชูเกียรติบุคคลวงการมวยที่กำลังจะเกิดขึ้นช่วงเดือนกันยายนนี้ เพื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร ที่การสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ และเป็นต้นแบบให้แก่นักกีฬาไทยมานานหลายทศวรรษ

ประวัติ “โผน กิ่งเพชร” หรือชื่อจริงนายมานะ สีดอกบวบ เป็นชาวหัวหินโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2478 ตั้งแต่เด็ก โผนชอบเล่นกีฬาโดยเฉพาะมวยสากล ต่อมาพี่ชายพาไปฝากกับนายห้างทองทศ อินทรทัต เจ้าของค่ายมวยกิ่งเพชร ย่านถนนเพชรบุรี ฝีมือพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถชนะน็อคกู้น้อย วิถีชัย แชมป์ฟลายเวทของเวทีราชดำเนินได้ ทั้งๆ ที่โผนยังอ่อนประสบการณ์กว่ามาก ต่อมาได้ชิงแชมป์ภาคตะวันออกไกล (OPBF) และสามารถล้มแดนนี คิด (Danny Kid) แชมป์เก่าชาวฟิลิปปินส์สำเร็จ โผนเริ่มมีชื่อติดอันดับโลก ซึ่งนับเป็นการกรุยทางสู่การชิงแชมป์โลกในเวลาต่อมา วันที่ 16 เมษายน 2503 โผนขึ้นเวทีดวลหมัดกับยักษ์แคระ หรือปาสคาล เปเรซ (Pascual Perez) แชมป์โลกรุ่นฟลายเวท ชาวอาร์เจนตินา ที่เวทีมวยลุมพินี ต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสามารถเอาชนะคะแนนเปเรซได้สำเร็จ กลายเป็นนักมวยแชมป์โลกรุ่นฟลายเวทคนแรกของไทย หลังจากนั้นเสียตำแหน่ง แต่ก็สามารถชิงกลับมาได้ถึง 3 ครั้ง ซึ่งเป็นการชิงแชมป์สภามวยโลก (WBC) กับสมาคมมวยโลก (WBA) ส่งผลให้โผนครองแชมป์โลกถึง 3 สถาบัน โผนเสียชีวิตลงด้วยโรคปอดและโรคแทรกซ้อนเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2525 ด้วยวัยเพียง 47 ปี

ภายหลังโผนได้เสียชีวิตลง เทศบาลตำบลหัวหิน (ในขณะนั้น) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมกันจัดหาทุนสร้างอนุสรณ์สถานโผน กิ่งเพชร ลักษณะรูปปั้น สูง 2.20 เมตร อยู่ในท่ายืน มือขวาชูกำปั้น มือซ้ายถือเข็มขัดแชมป์โลก โดยประติมากรผู้ปั้นรูปโผน คือนายนนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) ปี 2549 ตั้งไว้บริเวณชายหาดหัวหิน และได้ทำพิธีเปิดงานวันอนุสรณ์สถานโผน กิ่งเพชร เมื่อวันที่ 16 เมษายน 35 ปัจจุบันอนุสาวรีย์ โผน กิ่งเพชร ย้ายมาตั้งหน้าสวนสาธารณะโผน กิ่งเพชร พร้อมประวัติให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม ต่อมาสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยได้กำหนดให้วันที่ 16 เมษายนของทุกปี เป็นวันนักกีฬายอดเยี่ยม ของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย โดยมีการมอบรางวัลถ้วยพระราชทานเป็นประจำทุกปีให้กับนักกีฬา

นายศิรพันธ์ กมลปราโมทย์ นายกสมาคมพัฒนากีฬาหัวหิน /ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน จ.ประจวบฯ กล่าวว่าจากการที่โผน กิ่งเพชร แชมเปี้ยนโลกชาวไทยคนแรกได้รับการยกย่องคัดเลือกเข้าสู่หอเกียรติยศ International Boxing Hall of Fame (IBHOF) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ยังความภาคภูมิใจให้กับชาวหัวหินและคนไทยทั้งประเทศ เพราะโผนคือตำนานนักชกผู้ยิ่งใหญ่ เป็นอดีตแชมป์โลกของสภามวยโลก (WBC) ที่ไม่มีวันลืมเลือน ในสาขานักมวยในยุคเก่า (Old Timer category) โผน กิ่งเพชร แชมป์โลกคนแรกของเมืองไทยผู้ล่วงลับ ได้รับเกียรติเข้าสู่หอเกียรติคุณ เคียงข้างเขาทราย กาแล็กซี่ อดีตแชมป์โลกในตำนานอีกคน ที่เคยได้เข้าไปก่อนหน้านี้ ในสาขานักมวยยุคใหม่ (Modern category).

Categories
ข่าว ทั้งหมด

ผู้นำท้องที่และชาวบ้านแม่รำพึง ยื่นหนังสือคัดค้านจัดตั้งอุทยานอ่าวสยาม

ผู้นำท้องที่และชาวบ้านแม่รำพึง ยื่นหนังสือคัดค้านจัดตั้งอุทยานอ่าวสยาม

วันที่ 29 สิงหาคม 2566 นายสุรศักดิ์ สิงคิวิบูลย์ กำนันตำบลแม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้านทั้ง 8 หมู่บ้าน ในตำบลและชาวบ้าน เข้ายื่นหนังสือคัดค้านการประกาศจัดตั้งเขตอุทยานอ่าวสยาม พร้อมแนบรายชื่อชาวบ้านในพื้นที่ต่อนายเลิศยศ แย้มพราย นายอำเภอบางสะพาน ก่อนที่จะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนที่เกี่ยวข้องและประชาชนในการกำหนดพื้นที่เป็นอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม จ.ประจวบคีรีขันธ์

นายสุรศักดิ์ เปิดเผยว่าชาวบ้านตำบลแม่รำพึง แสดงจุดยืนและยื่นหนังสือคัดค้านไม่ให้มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติอ่าวสยามมาโดยตลอด เพราะการประกาศดังกล่าวจะสร้างความเดือดร้อนต่อวิถีการทำมาหากินที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ อาศัยการหาอาหาร มีรายได้เล็กๆ น้อยๆ จากพืชผัก น้ำผึ้ง หรือตกปลาจากคลองแม่รำพึงมานานหลายชั่วอายุคนและทำให้สูญเสียรายได้หาเลี้ยงครอบครัว นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าเมื่อมีการประกาศเขตอุทยานไปแล้ว หน่วยงานที่ดูแลจะมีข้อบังดับต่างๆ เพิ่มเติมอีกมาก จนชาวบ้านไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าได้เหมือนเดิม ซึ่งทุกวันนี้การทำมาหากินของชาวบ้านก็ลำบากและมีข้อบังคับจากภาครัฐมากมายอยู่แล้ว แต่วิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้านไม่เคยทำลายป่า ช่วยกันดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและที่ทำมาหากินหลักของชุมชมด้วยกลุ่มชาวบ้านเอง โดยที่หน่วยรัฐนั้นไม่เคยเข้ามาดูแล รวมถึงการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ยังปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดของภาครัฐแต่ละหน่วยงานอย่างเคร่ดครัดอยู่แล้ว เช่น กฎหมายกรมเจ้าท่า กฎหมายประมง กฎหมายป่าชายเลน เป็นต้น หากมีการประกาศเขตอุทยานเพิ่ม ก็จะมีกฎหมาย ข้อบังคับมาควบคุม มีบทลงโทษที่รุนแรง จึงเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมที่จะเกิดขึ้น หลังการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม มีแต่จะสร้างผลกระทบโดยตรงกับชาวบ้านในพื้นที่ตำบลแม่รำพึง มากกว่าจะเป็นผลดีกับชุมชน เกรงว่าจะทำให้พวกเราไม่สามารถดำรงชีพและทำมาหากินได้ตามวิถีดั้งเดิมต่อไปได้ ดังนั้นพวกเราในฐานะชาวบ้านตำบลแม่รำพึง อาศัยอยู่ในพื้นที่มาเป็นเวลายาวนาน จึงขอคัดค้านไปถึงหัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม (เตรียมการ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในเวทีรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนที่เกี่ยวข้องและประชาชนในการกำหนดพื้นที่เป็นอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่หอประชุมอำเภอบางสะพาน เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ไม่มีผู้นำในท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในตำบลแม่รำพึงเข้าร่วม นอกจากนี้ขณะที่ระหว่างการเปิดเวทีรับฟัง มีชาวบ้านรวมตัวกันหน้าหอประชุมอำเภอบางสะพาน เดินทางมาถือป้ายคัดค้านการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เชิญกลุ่มคัดค้านเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนในเวที นอกจากนี้ นายวิเชียร เกตุงาม กำนันตำบลกำเนิดนพคุณ พร้อมด้วยผู้นำในท้องที่และชาวบ้านกำเนิดนพคุณ เข้ายื่นหนังสือต่อนายอำเภอบางสะพานเพื่อคัดค้านการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติอ่าวสยามเช่นเดียวกัน.

พิสิษฐ์ รื่นเกษม….รายงาน

Categories
ข่าว ทั้งหมด

กระบะเสียหลักตกร่องกลาง ชนเสาไฟขาด แต่รอดเพราะถุงลมนิรภัย

กระบะเสียหลักตกร่องกลาง ชนเสาไฟขาด แต่รอดเพราะถุงลมนิรภัย

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 29 สิงหาคม 2566 พ.ต.ท.หญิง เบญจมาส เทียนทอง พนักงานสอบสวน สภ.กุยบุรี รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุรถกระบะตกร่องกลางถนน มีผู้ได้รับบาดเจ็บติดอยู่ภายในรถ บนถนนเพชรเกษมฝั่งล่องใต้ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 279 +700 บ้านจวนบน หมู่ 1 ต.กุยบุรี อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยตำรวจทางหลวงกุยบุรี และเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิหลวงพ่อในกุฏิ วัดกุยบุรี

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุเป็นช่วงทางโค้ง เลยสี่แยกไฟแดงกุยบุรี ประมาณ 300 เมตร พบรถกระบะอีซูซุสีขาว ด้านหลังเป็นตู้ทึบ ทะเบียน 3 ฒง 6211 กรุงเทพฯ ตกอยู่ร่องกลางถนน ด้านหน้าชนอัดติดกับต้นไม้จนหน้ายุบ ใกล้กันพบเสาไฟส่องสว่างที่เป็นเหล็กโคนเสาเป็นคอนกรีต มีร่องรอยถูกชนจนหักกระเด็นติดมาด้วย ตู้ทึบด้านหลังพังหลุดออกจากตัวรถ ข้างในบรรทุกเนื้อสับปะรดปอกมาตกกระจัดกระจายเกลื่อน

ภายในรถ พบร่างชายคนหนึ่งติดอยู่ในซากรถ กำลังร้องความช่วยเหลืออยู่ เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงได้นำเครื่องตัดถ่างมาช่วยตัดงัดซากรถเพื่อนำคนเจ็บออกมาและประสานหน่วยกู้ชีพโรงพยาบาลกุยบุรีเข้าช่วยเหลือ ใช้เวลาอยู่กว่า 20 นาที จึงสามารถนำคนเจ็บออกมาจากรถได้ พบว่ามีบาดแผลแตกที่ปลายคาง แผลที่แขนซ้าย เจ็บช้ำตามลำตัว จึงนำส่งโรงพยาบาลกุยบุรี ทราบชื่อต่อมาว่านายธเนศ แก้วคำ อายุ 19 ปี บ้านอยู่ที่ ต.ปากช่อง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าจุดที่เกิดเหตุห่างจากไฟแดงกุยบุรี มาประมาณ 300 เมตร จึงคาดว่าไม่น่าเกิดจากการหลับใน อาจโดนรถคันอื่นเบียดจนเสียหลักตกร่องกลาง ถูกแรงกระแทกจากการชนกับต้นไม้ ทำให้รถพังยุบจนอัดเข้ามาในห้องโดยสาร แต่เนื่องจากรถคันดังกล่าวมีถุงลมนิรภัยทำงานทั้งสองลูก ทำให้ลดแรงกระแทกได้มาก จึงช่วยผู้ขับขี่รอดจากการเสียชีวิตลงได้ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสอบสวนอีกครั้งหนึ่งต่อไป.

พันธุ์พงษ์ โพธิ์จินดา….รายงาน

Categories
ข่าว ทั้งหมด

อำเภอหัวหิน เดินหน้าโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืน เฉลิมพระเกียรติ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ

อำเภอหัวหิน เดินหน้าโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืน เฉลิมพระเกียรติ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ

เมื่อวันที่ 29 ส.ค.66 ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอหัวหิน จ.ประจวบฯ นายพลกฤต พวงวลัยสิน นายอำเภอหัวหิน เป็นประธานเปิดโครงการขับเคลื่อนขยายผลโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พร้อมทั้งได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ขับเคลื่อนโครงการฯ ร่วมกับ พระครูวิจิตรธรรมวิภัช เจ้าคณะอำเภอหัวหิน เจ้าอาวาสวัดบุษยบรรพต หัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี และประชาชนในพื้นที่ราว 150 คนร่วมในพิธี

โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) เป็นโครงการเพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษา ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ได้น้อมนำแนวพระดำริเรื่อง “หมู่บ้านยั่งยืน” (Sustainable Village) มาดำเนินการขับเคลื่อน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในหมู่บ้านให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยในระดับพื้นที่อำเภอได้กำหนดให้มีการแต่งตั้งกลไกขับเคลื่อนโครงการฯ ระดับอำเภอ ระดับตำบล และระดับหมู่บ้าน/ชุมชน โดยมีคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม./คณะกรรมการกลางหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง (อพป.)/คณะกรรมการชุมชน เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนร่วมกับ 7 ภาคีเครือข่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคสื่อสารมวลชน และภาคประชาชน บูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อให้ “หมู่บ้านยั่งยืน” (Sustainable Village) เกิดผลเป็นรูปธรรม ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ ภายใต้เป้าหมายการสร้างความยั่งยืนให้ครอบคลุมในทุกมิติ พร้อมทั้งมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่จะร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตาม UN SDGs 17 เป้าหมาย และยึดหลักการ Partnership ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ข้อที่ 17 โดยมีคณะสงฆ์เป็นภาคีเครือข่ายสำคัญ ตามหลัก “บวร” ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคีเครือข่าย.