Categories
กีฬา ข่าว ทั้งหมด

สนุ้กเกอร์อาชีพจัดศึกสอยคิวสะสมคะแนน รายการที่ 5 ที่หัวหิน

สนุ้กเกอร์อาชีพจัดศึกสอยคิวสะสมคะแนน รายการที่ 5 ที่หัวหิน

วันที่ 15 มิถุนายน 2566 นายพลกฤต พวงวลัยสิน เป็นประธานแถลงข่าวการแข่งขันกีฬาสนุกเกอร์อาชีพเก็บสะสมคะแนน รายการที่ 5 ประจำปี 2566 ที่โรงแรมหัวหินแกรนด์ แอนด์พลาซ่า อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีนายศิรพันธ์ กมลปราโมทย์ ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน พล.ต.ต.ดิสสทัต ภูริปโชติ อุปนายกสมาคมบิลเลียดแห่งประเทศไทย ว่าที่ร้อยตรี กรกฎ โอภาส รองผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานประจวบฯ น.ส.มลธิรา สีเมฆ หัวหน้าศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจังหวัดประจวบฯ (TAC) นางวาสนา ศรีกาญจนา นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน – ชะอำ ดร.รุ่งโรจน์ สีเหลืองสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ/ประธานจัดการแข่งขัน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วม

การจัดการแข่งขันสนุกเกอร์สะสมคะแนนอาชีพของประเทศไทย จัดโดยสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย ร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทย กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา โรงแรมหัวหินแกรนด์ แอนด์พลาซ่า สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน – ชะอำ ได้ร่วมจัดการแข่งข้นกีฬาสนุกเกอร์อาชีพเก็บสะสมคะแนน รายการที่ 5 ประจำปี 2566 ใช้ชื่อการแข่งขันว่า “THE THAI PARLIAMENTARY MEMBER ASSOCIATION : HUA HIN CUP, Thailand Ranging Circuit 2023” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และพัฒนากีฬาสนุกเกอร์ให้ครอบคลุมทั่วทุกภาค รวมทั้งส่งเสริมให้คนไทยหันมาเล่นกีฬาสนุกเกอร์มากยิ่งขึ้น และมุ่งเน้นส่งเสริมพัฒนากีฬาสนุกเกอร์ให้เป็นสู่เส้นทางอาชีพ โดยรายการนี้จัดแข่งขันระหว่างวันที่ 3 – 8 กรกฎาคม 2566 ที่ห้องหัวหิน โรงแรมหัวหินแกรนด์ แอนด์พลาซ่า และมีการถ่ายทอดสดการแข่งขันในวันที่ 6 – 8 กรกฎาคม 2566 ทางช่อง True และ True4U.

Categories
ข่าว ทั้งหมด

อุทยานหาดวนกร ฝึกทักษะการดำน้ำเพิ่มประสิทธิภาพผู้พิทักษ์ทรัพยากรใต้ทะเล

อุทยานหาดวนกร ฝึกทักษะการดำน้ำเพิ่มประสิทธิภาพผู้พิทักษ์ทรัพยากรใต้ทะเล

วันที่ 15 มิถุนายน 2566 น.ส.เนตรนภา งามเนตร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดวนกร ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่าอุทยานแห่งชาติหาดวนกร ได้จัดการฝึกอบรมหลักสูตรดำน้ำลึก (Scuba Diving) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล ระดับดำน้ำลึก CMAS One Star Diver และ CMAS Two Star Diver ระหว่างวันที่ 11 – 15 มิถุนายนนี้ ณ อุทยานแห่งชาติหาดวนกร โดยในระดับ CMAS Two Star Diver จำนวน 2 นาย ฝึกการ Search and Recovery Dive (การค้นหาและกู้สิ่งของใต้น้ำ), Night Dive (การดำน้ำกลางคืน), Peak Performance Buoyancy (การควบคุมการลอยตัวขั้นสูง), ดำน้ำที่ลึกเกินกว่า 18 เมตร (Deep Dive), การนำทางใต้น้ำ (Under Water Navigation) และ Rescue การช่วยเหลือผู้อื่น และในระดับ CMAS One Star Diver จำนวน 6 นาย ฝึกการใช้อุปกรณ์ดำน้ำ, การลอยตัว, การหายใจผ่านอุปกรณ์จ่ายอากาศ (Regulator), การลงสู่ใต้น้ำ, การไล่น้ำออกจากหน้ากาก, การปรับสมดุลภายในร่างกาย, การสื่อสารใต้น้ำโดยใช้สัญญาณมือ และทักษะอื่นๆ

ซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดวนกร ทั้ง 8 นาย จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นชุดปฏิบัติการทางทะเล มีหน้าที่ในการสำรวจทรัพยากรใต้ทะเล บำรุงรักษาทุ่นแนวเขต ทุ่นจอดเรือ เก็บกู้เครื่องมือประมง เศษอวน หรือขยะต่างๆ ใต้ทะเล การช่วยเหลือชีวิต กู้ชีพกู้ภัย รวมทั้งป้องกัน ปราบปรามการกระทำความผิดกฎหมายในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดวนกร อนาคตจะมีการพัฒนาบุคลากรดังกล่าวให้มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นในระดับการดำน้ำลึกต่างๆ ต่อไป.

Categories
ข่าว ทั้งหมด

ตำรวจปราณบุรีทำลายอาวุธปืนของกลาง ที่ศาลพิพากษาถึงที่สุด รวมทั้งท่อรถแต่งซิ่ง

ตำรวจปราณบุรีทำลายอาวุธปืนของกลางที่ศาลพิพากษาถึงที่สุด รวมทั้งท่อรถแต่งซิ่ง

วันที่ 15 มิถุนายน 2566 พ.ต.อ.อภิธาน ปานอุทัย ผกก.สภ.ปราณบุรี พ.ต.ท.พิชิต แสงศิริสุทธิสาร รอง ผกก.สส.สภ.ปราณบุรี และหัวหน้าคดี นายปรีดา สุขใจ นายอำเภอปราณบุรี นายพัชรพล เหลืองอร่าม รองนายกเทศมนตรีตำบลเขาน้อย ร่วมเป็นสักขีพยานในการทำลายอาวุธปืนของกลางที่ศาลได้มีคำพิพากษาให้ริบเป็นของกลางและคดีถึงที่สุดแล้ว ที่บริเวณลานจอดรถ สถานีตำรวจภูธรปราณบุรี ตามแนวทาง ขั้นตอน และวิธีการทำลายอาวุธปืนของกลาง ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 323/2563 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2563

ส่วนอาวุธปืนของกลางที่ทำลายมีหลายชนิดและหลายขนาด เช่น ปืนบรรจุปา ปืนอัดลมประกอบเอง หรือไทยประดิษฐ์ ปืนลูกซองประกอบเอง รวมจำนวนทั้งสิ้น 45 กระบอก เป็นปืนยาว 37 กระบอก ปืนสั้น 8 กระบอก เพื่อป้องกันมิให้มีการนำอาวุธปืนดังกล่าวกลับมาใช้ก่อเหตุในคดีอาญา หรือนำออกไปใช้ในทางมิชอบ รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน

ในการนี้ได้ทำลายท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมายที่ยึดมาได้ จำนวน 70 ท่อ ที่กลุ่มวัยรุ่นออกมาแข่งซิ่งรถจักรยานยนต์บนท้องถนน สร้างเดือดร้อนรำคาญให้กับประชาชน โดยเฉพาะบริเวณถนนสายเพชรเกษม ในคืนวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มในการปฏิบัติ ระดมกวาดล้างการกระทำผิดรูปแบบต่างๆ.

สมบัติ ลิมปจีระวงษ์….รายงาน

Categories
ข่าว ทั้งหมด

ขนุนยืนต้นตายเซ่นภัยแล้ง เกษตรกรไม่มีรายได้ใช้หนี้ ธกส.

ขนุนยืนต้นตายเซ่นภัยแล้ง เกษตรกรไม่มีรายได้ใช้หนี้ ธกส.

วันที่ 15 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอสามร้อยยอด ได้ไปสำรวจพื้นที่ปลูกขนุน หมู่ 4 ,6, 7 ต.ไร่เก่า และหมู่ 3, 4 ต.ไร่ใหม่ อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกขนุนเพื่อการส่งออกที่มีชื่อเสียงอีกชนิดของอำเภอสามร้อยยอด และเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับ 2 รองจากมะม่วง แต่ขณะนี้กำลังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างหนัก ทำให้ขนุนกำลังยืนต้นตาย บางต้นเหี่ยวเฉา ทยอยแห้งจากยอดลงมาถึงกลางต้น หลังจากที่ฝนทิ้งช่วงมาตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงปัจจุบัน ในพื้นที่อำเภอสามร้อยยอดไม่มีฝนตกลงมา แม้ว่าช่วงนี้จะมีฝนตกลงมาบ้าง แต่มีปริมาณไม่มาก แค่ทำให้หน้าดินเปียก ไม่เพียงพอกับการเก็บกักน้ำได้ ล่าสุดสำรวจพบว่าสวนขนุนของเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายมีจำนวน 131 ไร่

นายสำราญ เกตุเพชร เกษตรกร กล่าวว่าตนปลูกขนุนจำนวน 1,200 ต้น ในพื้นที่ 20 ไร่ ช่วงนี้แย่มาก เพราะต้นขนุนขาดน้ำ ขณะที่ในไร่มีทั้งบ่อน้ำและบาดาล ก็มีน้ำไม่พอขึ้นมารดต้นขนุน อาศัยรดน้ำอาทิตย์ละ1 – 2 ครั้ง ยิ่งรดก็ยิ่งแย่ลงทุกวัน ตอนนี้ในไร่ต้นขนุนที่เสียหายมีประมาณ 90% ปกติจะตัดขนุนเดือนละ 3 ครั้งๆ ละประมาณ 7 ตัน แต่ตอนนี้ไม่มีขนุนให้ได้ตัดเลย สภาพต้นขนุน 90% แห้งตายเกือบหมด ปีนี้คิดว่าฟื้นฟูไม่ขึ้นแล้ว ไม่ได้ผลผลิตเลย หลังจากนี้ถ้าไม่มีน้ำหรือฝน คิดว่าขนุนต้องตายทั้งหมด และคงต้องเป็นหนี้กันต่อไป

ก่อนหน้าที่ประสบภัยแล้ง เคยเก็บผลผลิตได้ครั้งละ 10 ตัน เดือนหนึ่งเก็บได้ 3 ครั้ง ตอนนี้รายได้ที่เคยมีทุกเดือนหายหมด เริ่มแย่ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เดือนมีนาคมแย่มากที่สุด และมาตอนนี้แย่หนักขึ้นไปอีก ฝนไม่ตก น้ำก็ขาดไปทุกวัน สุดท้ายแล้วเราก็เป็นหนี้ อยากจะฟื้นฟูใหม่ อยากจะให้ทางราชการช่วยเหลือเป็นพันธุ์ขนุนมาฟื้นฟูกันใหม่ต่อไป

นายนิยม นาดี เกษตรกร กล่าวว่าตนปลูกขนุน จำนวน 6 ไร่ 300 ต้น เป็นขนุนพันธุ์ทองประเสริฐกับทองมาเลย์ ไม่มีน้ำให้รดมาสองเดือนแล้ว มีต้นขนุนตายประมาณ 10 % และที่กำลังจะตายประมาณ 50% ต้นจะมีลักษณะใบเล็กยอดแห้งลงมา ต้นขาวเหมือนลำต้นไม่มีน้ำเลี้ยง หรือขาดน้ำแบบรุนแรง ผลผลิตไม่มีเลย ในไร่ขุดสระไว้น้ำก็ยังไม่พอใช้ พอมาเห็นต้นขนุนทยอยตาย รู้สึกแย่ ผลผลิตไม่มี ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย ธกส. เมื่อก่อนเดือนหนึ่งจะตัดได้ 3 ครั้ง ขนุนในไร่ที่ตัดได้ประมาณ 100 – 200 ต้น เดือนหนึ่งจะตัดได้ประมาณ 3 – 4 ตัน ปกติขนุนชุดแรกจะตัดได้เดือนตุลาคม – พฤษจิกายน แต่สองเดือนที่ผ่านมาไม่มีผลผลิตออกมาเลย หลังจากนั้นจะเป็นฤดูใหม่ที่จะรอการตัด แต่เห็นแล้วคงไม่ได้ตัด ต่อจากนี้ไปคงต้องรอฝนอย่างเดียว ขนุนเป็นพืชที่กินน้ำมาก ถ้าให้ ก็ต้องให้สม่ำเสมอ ถ้าเปลี่ยนแปลงต้นขนุนจะมีอาการทันที คือรดเวลาไหน ก็ต้องรดเวลานั้น ขนุนเป็นพืชที่ขาดน้ำไม่ได้

ด้านนายนพดล เบญจกุล เกษตรอำเภอสามร้อยยอด กล่าวว่าลักษณะของการแล้งช่วงนี้ เป็นการแล้งที่สะสมมา คือฝนไม่ตกเลย หรือตกน้อย ทำให้ต้นไม้มีผลกระทบ โดยเฉพาะมะม่วง ขนุน ดังนัั้นเมื่อแล้งสะสมมาเรื่อยๆ ทำให้ใบร่วง ปลายเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนได้ออกสำรวจร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อบต. พบขนุนและมะม่วงยืนต้นตาย ได้นำเสนอนายอำเภอรับทราบแล้ว สำหรับคำแนะนำให้กับเกษตรกรในเบื้องต้นเรื่องภัยแล้ง การดูแลก็ต้องหาแหล่งน้ำ ต้องพยายามหาแหล่งน้ำที่จะรองรับเผื่อฝนแล้งทิ้งช่วงไปอีกระยะหนึ่ง อาจจะเป็นการขุดบ่อบาดาล หรือสูบน้ำจากที่อื่นมาเข้าสระของตัวเอง

สำหรับพื้นที่การเกษตรที่เสียหายส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่อยู่เหนือคลองขึ้นไป จะเป็นพื้นที่ ที่ขาดแหล่งน้ำ อาศัยน้ำฝนเป็นส่วนใหญ่ อีก 1 ถึง 2 เดือน ถ้าฝนยังไม่ตก คิดว่าความเสียหายจะเพิ่มขึ้น ส่วนการช่วยเหลือเบื้องต้นได้สำรวจพื้นที่ ที่คิดว่าจะเสียหาย รวมทั้งสิ้นแล้วทั้งอำเภอ ประมาณ 131 ไร่ เกษตรกร 52 ราย ถ้าเกิดความเสียหายโดยสิ้นเชิง ผลไม้ยืนต้นจะได้รับการเยียวยา ไร่ละ 4,048 บาท ก่อนหน้านี้จังหวัดประจวบฯ ได้ประกาศให้เป็นเขตภัยพิบัติแล้ง 2 อำเภอ คืออำเภอหัวหินและอำเภอบางสะพานน้อย ได้นำเสนอให้เข้าคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัดประจวบฯ (ก.ช.ภ.จ.) เพื่อขยายเป็นภัยพิบัติด้านพืชของอำเภอสามร้อยยอดยอด ซึ่งตอนนี้ได้ประกาศเป็นภัยพิบัติด้านพืชเกือบจะครบทุกอำเภอแล้ว.

ภาพ/ข่าว : ฐิติชญา แสงสว่าง

Categories
ข่าว ทั้งหมด

ชาวบ้านร้องสื่อ ถนนหมู่บ้านสร้างเสร็จไม่มีท่อระบายน้ำ

ชาวบ้านร้องสื่อ ถนนหมู่บ้านสร้างเสร็จไม่มีท่อระบายน้ำ

วันที่ 13 มิถุนายน 2566 นายคงเดช หมายแม้น เจ้าของร้านชำ พร้อมกลุ่มชาวบ้านหมู่ 2 ต.วังก์พง ที่ประสบปัญหาการดำเนินงานก่อสร้างผิวถนนของ อบต. ในพื้นที่หมู่ 2 ต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ เข้าร้องสื่อว่าถนนเข้าหมู่บ้านสร้างเสร็จนานนับเดือน ไร้ป้ายชื่อโครงการ ผู้รับเหมายังไม่ดำเนินการปรับพื้นผิวไหล่ถนนให้ชาวบ้านสามารถเข้าออกหน้าบ้านให้แล้วเสร็จได้ ฝนตกน้ำท่วมขัง ไม่มีท่อระบายน้ำสาธารณะ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก หลายครัวเรือนประสบปัญหารถยนต์เข้าออกบริเวณหน้าบ้านไม่สะดวก เนื่องจากพื้นถนนที่สร้างเสร็จมีระดับสูง

หลังจากที่ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบ มีชาวบ้านในพื้นที่หลายรายนำชี้จุดที่เกิดปัญหาจากการก่อสร้างถนนที่ผู้รับเหมาดำเนินการทิ้งไว้ยังไม่แล้วเสร็จ ทำให้ชาวบ้านสัญจรไปมาลำบาก จากการสอบถามชาวบ้านผู้เดือดร้อนหลายราย พบว่าโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตระยะทางยาวกว่า 1 กิโลเมตร ในพื้นที่หมู่ 2 ต.วังก์พงไม่ติดป้ายโครงการ ชาวบ้านยังมีข้อสงสัยถึงที่มาของโครงการ เนื่องจากไม่มีป้ายบอกการดำเนินการจัดทำโครงการจาก อบต. ให้ชาวบ้านในพื้นที่รับทราบแต่อย่างใด ทั้งยังไม่มีแผนแบบก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ควบคู่ไปกับไหล่ถนนเพื่อรองรับน้ำเสียภายในชุนชน หากฝนตกหนัก น้ำบนพื้นผิวถนนจะไหลลงเข้าบ้านเรือน เกิดน้ำท่วมขังอาจสร้างความเสียหายให้ผู้อยู่อาศัย เพราะผิวถนนที่สร้างเสร็จมีระดับความสูง ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนบ่อยครั้ง ชาวบ้านที่สัญจรไปมาบางรายเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ตกไหล่ทางถนนที่มีระดับความสูงมาก โดยไม่มีจุดสัญญาณบอกแนวเขตให้เห็น ทำให้ยานพาหนะและทรัพย์สินเสียหายหลายราย แต่หาผู้รับผิดชอบไม่ได้

ชาวบ้านอยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ช่วยชี้แจงความชัดเจนที่มาของโครงการ และการก่อสร้างสาธารณูปโภคท่อระบายน้ำสาธารณะที่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะดำเนินการสร้างให้ชาวบ้านได้ใช้สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้หรือไม่ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีคำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจสร้างความเสียหายให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุมชนเป็นวงกว้างได้

นางผกาแก้ง จีรวุฒิ อดีตข้าราชการบำนาญ เล่าว่า หลังจากเกษียณอายุราชการครู ได้ย้ายครอบครัวมาซื้อบ้านอยู่ในชุมชนแห่งนี้ร่วมกับข้าราชการคนอื่นที่เกษียณมาก่อนตนหลายปี เมื่อก่อนผิวถนนมีระดับต่ำกว่าหน้าบ้านเกือบทุกหลังคาเรือน หลังจากมีการปรับพื้นผิวถนนใหม่ มีระดับความสูงขึ้นมาก ทำให้เกิดน้ำขังบริเวณหน้าบ้านเมื่อมีฝนตกหนัก ตนจึงสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงระบบท่อระบายน้ำทิ้งตามทางสาธารณะภายในชุมชน ที่ต้องก่อสร้างควบคู่ไปกับผิวถนน หากแต่ไม่ใช่โครงการตามงบประมาณของ อบต.ที่ต้องขอความเห็นชอบต่อสภาที่เห็นความเดือดร้อนของชาวบ้าน ทราบภายหลังว่าเป็นงบประมาณของ อบจ. นำมาลงปรับพื้นผิวถนนเท่านั้น ส่วนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต้องรอ อบต.ดำเนินการจัดทำงบประมาณในขั้นตอนต่อไป จึงตั้งข้อสงสัยถึงการบริหารจัดการตามหน้าที่ของ อบต. ทำไมถึงไม่ทำประชาพิจารณ์ความต้องการของชาวบ้านในชุมชนเสียก่อน อีกทั้งป้ายโครงการก่อสร้างไม่มีบอกไว้ให้ชาวบ้านได้รับทราบถึงที่มาของการดำเนินงานให้แล้วเสร็จ รามทั้งโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ยังไม่สามารถตอบชาวบ้านได้ว่าจะดำเนินการเมื่อไร อาจต้องรอให้น้ำท่วมขังบ้านเรือนให้มากกว่านี้ ถึงจะดำเนินการจัดตั้งงบประมาณช่วยเหลือชาวบ้านใช่หรือไม่ นางผกาแก้ว กล่าว.

Categories
ข่าว ทั้งหมด

คุมประพฤติประจวบฯ จัดโครงการสานสัมพันธ์เสริมพลังต้านยาเสพติด รุ่นที่ 1 ประจำปี 2566

คุมประพฤติประจวบฯ จัดโครงการสานสัมพันธ์เสริมพลังต้านยาเสพติด รุ่นที่ 1 ประจำปี 2566

วันที่ 13 มิถุนายน 2566 นายบุญรัตน์ จูอี้ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธานเปิดโครงการสานสัมพันธ์น้อง – พี่ เสริมพลังต้านยาเสพติด รุ่นที่ 1 ประจำปี 2566 ณ ห้องประชุมอุทยานแห่งชาติหาดวนกร ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีนายมิตรารุณห์ พรหมอินทร์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายรณกร พรหมอินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายวสันต์ เกรีวิค ผู้อำนวยการสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในนามของผู้จัดโครงการ นายวัชรินทร์ จันทร์เดช ประธาน อสค.สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการอาสาสมัครคุมประพฤติจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เจ้าหน้าที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดวนกร ร่วมโครงการ

กรมคุมประพฤติ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการคุมความประพฤติ และการพัฒนาพฤตินิสัย แก้ไข ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เสพยาเสพติดในกระบวนการคุมประพฤติ ได้มีนโยบายให้ความสำคัญกับการยกระดับระบบการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาและให้โอกาสแก่ผู้กระทำผิด ได้มีโอกาสกลับตัวเป็นคนดี และกลับมาสร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคม ตามแนวคิดการเปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง จึงได้มีโครงการ “สานสัมพันธ์น้อง – พี่ เสริมพลังต้านยาเสพติด” เพื่อให้ผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ศาลให้โอกาสรอการลงโทษ โดยกำหนดเงื่อนไขการคุมความประพฤติ และผู้กระทำผิดที่ศาลมีคำสั่งให้บำบัดยาเสพติด มีความเข้มแข็งทางใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เสริมสร้างแรงจูงใจให้เลิกสารเสพติดได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถเข้าถึงแหล่งสนับสนุนทางสังคม

โครงการนี้เป็นรุ่นที่ 1 ประจำปีงบประมาณ 2566 มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ที่อยู่ในระบบงานคุมประพฤติ จำนวน 40 คน มีการบรรยาย การแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติ การศึกษาดูงานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงหรือโครงการในพระราชดำริ โดยมีวิทยากรจากสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และได้รับการสนับสนุนด้านสถานที่การจัดโครงการจากอุทยานแห่งชาติหาดวนกร.

ณัฐธภพ พันสาย….รายงาน

Categories
ข่าว ทั้งหมด

สื่อออนไลน์ภูมิภาคอาเซียน ผนึกกำลังร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการอยู่รอด ในงาน Regional Seminar 2023 จัดโดยสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์

สื่อออนไลน์ภูมิภาคอาเซียน ผนึกกำลังร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการอยู่รอด ในงาน Regional Seminar 2023 จัดโดยสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) ร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดการประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความเห็นระดับภูมิภาค (Regional Seminar) ในหัวข้อ “ความอยู่รอดของสื่อออนไลน์ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง” หรือ Survival of Online News Providers in the Changing World เป็นการรวมตัวกันของตัวแทนผู้ผลิตสื่อออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มาร่วมแลกเปลี่ยน หารือเกี่ยวกับปัญหา สถานการณ์และแนวทางการทำธุรกิจสื่อออนไลน์ในภูมิภาคนี้ โดยได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2566 ณ โรงแรม ปทุมวัน ปริ๊นเซส และถ่ายทอดสดออนไลน์ทางเฟซบุ๊กสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ www.fb.com/SONPThai และไทยพีบีเอส www.fb.com/ThaiPBS

นายระวี ตะวันธรงค์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยเน้นย้ำว่า ภูมิทัศน์สื่อในภูมิภาคอาเซียนปรับเปลี่ยนไปอย่างมากโดยเฉพาะพฤติกรรมผู้รับสารที่ปรับเปลี่ยนไปโดยเปิดรับข้อมูลข่าวสารผ่านทาง Key Opinion Leader หรืออินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการรับข่าวสารเป็นอย่างมาก ดังนั้นสื่อมวลชนในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งผู้ที่เข้าร่วมงานจะสามารถแลกเปลี่ยนแนวคิด พร้อมทั้งเสนอแนวทางต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาการผลิตสื่อที่เน้นถึงคุณภาพของคอนเทนต์ ตลอดจนร่วมกันหาแนวทางในการสร้างโมเดลธุรกิจ สำหรับหารายได้ให้องค์กรสื่อมีความยั่งยืนทางธุรกิจ โดยในงานนี้ได้สรุปถึงที่มาและภาพรวมของพัฒนาการของอุตสาหกรรมสื่อออนไลน์ในภูมิภาคอาเซียน โดยนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ที่ปรึกษาและผู้ก่อตั้งสมาคมฯ อีกด้วย

การสัมมนาดังกล่าว ได้เชิญตัวแทนจากสื่อออนไลน์ชื่อดังในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย เมียนมาร์ เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา และลาว ร่วมหารือใน 3 หัวข้อหลัก คือ หัวข้อที่ 1 “กลยุทธ์ด้านเนื้อหา (Content Strategy)” นำเสนอการพัฒนาการนำเสนอเนื้อหาและกลยุทธ์ในมุมมองใหม่เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน โดย Min Thaw Htut, Executive Director of Eleven Media Group เมียนมาร์, Thong Sovan Raingsey, General Director of Koh Santepheap Media จากกัมพูชา และ Somsack Pongkhao, News Editor of Vientiane Times จากลาว หัวข้อที่ 2 “โมเดลธุรกิจ (Business Model)” ศึกษาสื่อออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงการออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่อย่างไร เพื่อดึงดูดผู้อ่านและผู้ชมมากขึ้น ในขณะที่แพลตฟอร์มทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ร่วมเสวนาโดย Do Min Thu Executive, VietnamPlus Online News จากเวียดนาม , Rosette Santillan Adel, Online Writer/Editor of Philstar.com จากฟิลิปปินส์ และ Adek Media Roza Ph.D .Director of Katadata Insight Center จากอินโดนีเซีย โดยทั้งสองหัวข้อ ร่วมดำเนินรายการเสวนาโดย น.ส.ณัฎฐา โกมลวาทิน ผู้อำนวนการ Thai PBS World จาก Thai PBS และหัวข้อที่ 3 “โอกาสการสร้างรายได้ (Monetization Opportunity)” โอกาสใหม่ ๆ และการพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ ของการหารายได้ที่แต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน โดย Chia Ting Ting, Chief Commercial Officer Malaysiakini จากมาเลเซีย และนายระวี ตะวันธรงค์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ดำเนินรายการโดย น.ส.ธันย์ชนก จงยศยิ่ง บรรณาธิการ TNN World

ตัวแทนสื่อจากมาเลเซียกล่าวว่า สื่อ ผลิตภัณฑ์ และการโฆษณาเกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดด การกำหนดจุดยืนของแบรนด์ในระดับโลกเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะสื่อจำนวนมากลงไปแข่งขันในระดับนานาชาติ นอกจากนั้น สื่ออาจต้องเน้นให้บริการลูกค้าในด้านการบริหารชื่อเสียง การให้คำแนะนำด้านการสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า รวมทั้งการให้ความรู้กับสาธารณชนด้วย การจำแนกฐานลูกค้า การเข้าใจลูกค้าแบบลึกซึ้ง การเข้ากันได้แบรนด์ลูกค้ากับสื่อของเราก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงเช่นเดียวกัน

ขณะที่ตัวแทนจากประเทศไทยได้ให้ความเห็นว่า “สื่อต้องหากลุ่มเฉพาะของตัวเองให้เจอ ส่วนเนื้อหาที่ Google ต้องการในปัจจุบัน คือเรื่องเกี่ยวกับการให้ความหวัง สุขภาพจิต สิ่งแวดล้อม และการข่มขู่คุกคามจะได้รับการผลักดันมากกว่าเรื่องอื่น ๆ”

ตัวแทนสื่อจากลาว กล่าวว่า ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 สื่อมวลชนลาวต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อความอยู่รอด แต่เดิมหารายได้จากการขายพื้นที่โฆษณาบนสื่อสิ่งพิมพ์ ต้องปรับตัวหารายได้จากออนไลน์ โดยผู้บริโภคข่าวสารในลาวที่รับข่าวสารผ่านระบบออนไลน์มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ตัวแทนจากเมียนมาร์ กล่าวว่า ภายในประเทศยังคงมีการควบคุมสื่ออย่างเข้มงวด จนทำให้สื่อหลาย ๆ รายต้องปิดตัวลง เป็นเรื่องธรรมดาที่ชาวพม่าต้องใช้ VPN ในการเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกปิดกั้น สื่อมวลชนพม่าจำนวนมากถูกฟ้องร้องดำเนินคดี และกักขังจากการเสนอเนื้อหาหรือความจริงที่ไม่ถูกใจรัฐ แม้จะยากลำบากในการทำสื่อขนาดไหน ทางตัวแทนพม่าได้ให้ข้อคิดไว้ว่า “ถึงแม้คุณจะถูกห้ามไม่ให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องทำเรื่องไม่ดีแทน”

ด้านตัวแทนจากกัมพูชา ให้คำแนะนำว่า “การแบ่งกลุ่มชุดเนื้อหาให้เหมาะกับกลุ่มเฉพาะ (Niche) เป็นสิ่งที่ควรทำ การทำข่าวในปัจจุบันเป็นเรื่องที่เน้นความเร็ว และควรมีความครอบคลุมหลากหลายกลุ่มผู้ชม และเห็นว่า COVID-19 ได้กระตุ้นให้สื่อต้องปรับกลยุทธ์อย่างมากเพื่อความอยู่รอด”

ตัวแทนจากฟิลิปปินส์ กล่าวว่า สื่อมวลชนนำเสนอคอนเทนต์ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าการเมือง สังคม กีฬา ในช่วงนี้สื่อจะผลิตเนื้อหาที่สั้นลงให้เข้ากับพฤติกรรมผู้รับสาร และเน้นไปที่การนำเสนอแบบไลฟ์สด หรือ Real Time โดยเนื้อหาที่ครองใจคนได้ คือเนื้อหาที่มีทั้งภาพและเสียง ( Visualization) พร้อนแนะนำว่า การทำคอนเทนต์ให้ตรงใจกับผู้รับสารจะเป็นประโยชน์กับตัวสำนักข่าวเอง ส่วนการที่จะไปต่อสู้กับโซเชียลมีเดีย หรือเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ องค์กรสื่อเองต้องมีความน่าเชื่อถือและทำหน้าที่เป็นสุนัขเฝ้ายามของสังคม รักษาผลประโยชน์ให้ประชาชน

ตัวแทนจากอินโดนีเซียได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับโมเดลธุรกิจว่า “การหาทุนในการทำข่าวเชิงลึกเป็นเรื่องที่ยาก สื่อต้องมีความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยน อีกทั้งสื่อยังต้องมีการคิดกลยุทธ์ทางธุรกิจก่อนการผลิตเนื้อหา ไม่เช่นนั้นการหารายได้จะลำบากอย่างยิ่ง”

นอกจากนี้ยังได้จัดการสนทนาแบบ Roundtable ในหัวข้อ “The Future of News Website in ASEAN” โดยเปิดโอกาสให้วิทยากรทั้งหมด ได้แสดงความคิดเห็นและถาม-ตอบร่วมกับผู้เข้าร่วมงานกว่า 40 คน

ผู้ร่วมสนับสนุนการจัดงานครั้งนี้ประกอบด้วย บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน), โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), มูลนิธิเอสซีจี, สายการบินไทยแอร์เอเชีย, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้สามารถติดตามชมบรรยากาศและเนื้อหาตลอดการประชุมย้อนหลังได้ทาง www.facebook.com/SONPThai และ YouTube Thai PBS : ช่วงที่ 1 http://youtu.be/9jpqD9eFJok , ช่วงที่ 2 https://youtu.be/ylM3Ql03LBY

Categories
ข่าว ท่องเที่ยว ทั้งหมด

ศูนย์ฯ สิรินาถราชินี จัดกิจกรรมสายลับจับปู พร้อมลุ้นรางวัลมากมาย

ศูนย์ฯ สิรินาถราชินี จัดกิจกรรมสายลับจับปู พร้อมลุ้นรางวัลมากมาย

วันที่ 8 มิถุนายน 2566 นายคมสัน หงภัทรคีรี ผู้จัดการศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่าศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี เปิดประสบการณ์กับกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่ สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ พร้อมสอดแทรกองค์ความรู้เรื่องป่าชายเลนในเรื่องของสิ่งมีชีวิตผ่านกิจกรรม “สายลับจับปู” ที่จะพาทุกท่านไปรู้จักกับกลุ่มของปูแสม ซึ่งเป็นปูกลุ่มเด่นที่พบในพื้นที่ป่าชายเลน โดยเป็นกลุ่มปูที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยย่อยสลายอินทรีย์สารและหมุนเวียนสารอาหารในระบบนิเวศ อีกทั้งยังเป็นอาหารสำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น นก ลิง ปลา และ งู เป็นต้น โดยนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมกิจกรรม จะได้เรียนรู้วิธีการจับปูแสม ผ่านการใช้เบ็ดตกปู เป็นภูมิปัญญาของชุมชนในการจับปูแสมอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งสามารถจับปูแสมได้จำนวนมาก อีกทั้งยังได้เรียนรู้เรื่องการจัดจำแนกปูแสมชนิดเด่นในพื้นที่ศูนย์ฯ สิรินาถราชินี พร้อมลุ้นรับของรางวัลต่างๆ จากศูนย์ฯสิรินาถราชินี ซึ่งกิจกรรมนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 11 มิถุนายน 2566 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 15.00 น. ณ ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก : ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี หรือโทร 032 – 632255 หรือ 086 – 6077712

สำหรับศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการฟื้นฟูป่าชายเลน จากนากุ้งร้างแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองเก่า – คลองคอย ต.ปากน้ำปราณ เดิมเป็นพื้นที่สัมปทานนากุ้ง ในช่วงปี พ.ศ.2524 – 2539 ป่าผืนนี้ฟื้นชีวิตขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินอำเภอปราณบุรี เมื่อปี พ.ศ.2539 ศูนย์ฯ แห่งนี้ จัดตั้งขึ้นโดยความร่วมมือจากบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่เข้าร่วมโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสทรงครองราชย์ปีที่ 50 และดำเนินการปลูกป่าชายเลนเพื่อฟื้นฟูสภาพพื้นที่และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพัฒนาเป็นศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลน โดยเปิดให้เที่ยวชมและเรียนรู้พื้นที่ระบบนิเวศ มีอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เส้นทางศึกษาธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชน รวมทั้งมีการเชื่อมต่อการท่องเที่ยวระหว่างวนอุทยานปราณบุรี แม่น้ำปราณบุรี และศูนย์ฯ แห่งนี้.

Categories
ข่าว ทั้งหมด

ประจวบฯ คัดเลือกผลิตภัณฑ์ OTOP เด่นส่งเข้าประกวดระดับประเทศ

ประจวบฯ คัดเลือกผลิตภัณฑ์ OTOP เด่นส่งเข้าประกวดระดับประเทศ

วันที่ 13 มิถุนายน 2566 นายกิตติพงศ์ สุขภาคกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธานเปิดโครงการส่งเสริมกระบวนการเครือข่ายองค์ความรู้ (Knowledge-Based OTOP : KBO) กิจกรรมนำเสนอผลการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ จำนวน 20 ผลิตภัณฑ์ และคัดเลือกผลิตภัณฑ์เด่นของจังหวัด 1 ผลิตภัณฑ์ ที่โรงแรมแอทที บูทีค อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีนายดำรงค์ มากระจัน พัฒนาการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เครือข่าย OTOP จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกิจกรรม

นายดำรงค์ มากระจัน พัฒนาการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินกิจกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP โดยเครือข่ายองค์ความรู้ KBO จังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โดยมีเป้าหมายดำเนินการตามโครงการ จำนวน 20 ผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมให้คณะกรรมการเครือข่ายองค์ความรู้ KBO จังหวัด เป็นศูนย์กลางในการให้ความช่วยเหลือ และสนับสนุนขีดความสามารถของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ในการพัฒนายกระดับผลิตฑ์ OTOP ให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน มีบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม และสามารถเพิ่มมูลค่า กิจกรรมนำเสนอผลการพัฒนาผลิตภัณฑ์และคัดเลือกผลิตภัณฑ์เด่นของจังหวัดในวันนี้ เพื่อเป็นการเตรียมผลิตภัณฑ์ OTOP ที่ผ่านกระบวนการพัฒนาโดยคณะกรรมการ จังหวัดละ 1 ผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นตัวแทนเข้าร่วมการประกวดและเผยแพร่ผลการดำเนินงานของเครือข่ายองค์ความรู้ KBO จังหวัดในระดับประเทศต่อไป

สำหรับหลักเกณฑ์การประเมินศักยภาพผลิตภัณฑ์โครงการดังกล่าวนั้น พิจารณาจาก (1) การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการนำไปใช้ (2) การมีนวัตกรรมที่โดดเด่น ทันสมัย (3)การส่งเสริมช่องทางการตลาด และ (4) ความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ โดยผู้ประกอบการสามารถผลิตสินค้าได้เองในชุมชน ใช้วัตถุดิบจากชุมชน และสามารถผลิตวัตถุดิบได้เองในชุมชน.

Categories
ข่าว ทั้งหมด

ชาวบ้านทับสะแกถือป้ายค้านทุนใหญ่ ใช้พื้นที่ป่าสนเหมืองแร่ร้าง ทำฟาร์มโคเนื้อส่งออก

ชาวบ้านทับสะแกถือป้ายค้านทุนใหญ่ ใช้พื้นที่ป่าสนเหมืองแร่ร้าง ทำฟาร์มโคเนื้อส่งออก

วันที่ 12 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ริมถนนพชรเกษม – เหมืองแร่ บริเวณป่าสนเหมืองแร่ ต.นาหูกวาง มีชาวบ้าน อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวมตัวกันที่เพื่อถือป้ายประท้วงโครงการฟาร์มโคเนื้อขนาดใหญ่ เพื่อรอการส่งออกผ่านท่าเรือน้ำลึก อ.บางสะพาน จ.ประจวบฯ ไปยังประเทศจีน ซึ่งใช้พื้นที่ป่าสนเหมืองแร่ทำโครงการ คาดว่าจะมีนายทุนใช้พื้นที่เลี้ยงโคเนื้อจำนวนมาก ทำให้วิตกว่าจะมีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม กระทบกับการท่องเที่ยว เนื่องจากป่าสนเหมืองแร่ควรได้รับการพัฒนาเป็นป่าเพื่อการอนุรักษ์ มากกว่าการตัดทำลายต้นสนเก่าแก่เพื่อทำฟาร์มเลี้ยงโค

นอกจากนั้นการเข้ามาของโครงการขนาดใหญ่ จะทำให้คนในชุมชนมีความขัดแย้งเหมือนกับหลายโครงการในอดีต ขณะที่ชาวบ้านระบุว่า ก่อนที่จะนำโครงการใดเข้ามาในพื้นที่ ขอให้ผู้นำชุมชน ผู้มีอำนาจ ควรคำนึงถึงผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์จากกลุ่มนายทุน

นายอานนท์ โลดทนงค์ รองประธานสภาเกษตรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ พร้อมด้วยตัวแทนจากสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัด ตัวแทนสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด นายก อบต.นาหูกวาง อ.ทับสะแก ร่วมกันสำรวจพื้นที่ 300 ไร่ ในป่าสนเหมืองแร่ร้างของกรมป่าไม้ที่ตำบลนาหูกวาง เพื่อใช้ประโยชน์สร้างฟาร์มโคเนื้อมาตรฐานก่อนทำการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศผ่านท่าเรือน้ำลึก อ.บางสะพาน เพื่อแก้ปัญหาโคเนื้อล้นตลาดและราคาตกต่ำในขณะนี้

นายอานนท์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นเพียงแนวคิด การเดินทางไปดูพื้นที่ ต้องการไปดูความเหมาะสม ไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องใช้พื้นที่ป่าสนทำโครงการตามที่สภาเกษตรแห่งชาติกับสภาเกษตรจังหวัดมีแนวทางในการช่วยเหลือผู้เลี้ยงโคเนื้อในประเทศที่ประสบปัญหา ตั้งแต่มีการระบาดของโควิดทำให้ราคาตกต่ำ ยืนยันว่าการทำโครงการนี้ สภาเกษตรจังหวัดไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงใดๆ กับนายทุน แต่การทำโครงการจะต้องประเมินผลกระทบหลายด้าน มีการทำประชาคมหมู่บ้าน มีการทำประชาพิจารณ์กับผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน ซึ่งในวันที่ 15 มิถุนายน 2566 สภาเกษตรฯ ได้เชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายร่วมประชุมหารือแนวทางการทำโครงการที่ห้องประชุมสำนักงาน อบต.นาหูกวาง.

ณัฐธภพ พันสาย….รายงาน